ความท้าทายและแนวทางเฝ้าระวังมลสารไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากการซักผ้า

บทคัดย่อ

ปัญหาการปนเปื้อนมลสารไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่อาหารนับเป็นความท้าทายต่อสิ่งมีชีวิต และระบบนิเวศในทุกด้าน กิจกรรมในชีวิตประจำวันของครัวเรือน อาทิ การซักผ้าของครัวเรือนนับเป็นกิจกรรมที่ปล่อยไมโครไฟเบอร์ปริมาณมากสู่ระบบนิเวศแหล่งน้ำ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์การปนเปื้อนมลสารไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากกิจกรรมซักผ้าของครัวเรือนและในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน ทั้งในต่างประเทศและในประเทศ พบว่า รูปแบบและปริมาณไมโครพลาสติกที่ตรวจพบจากกิจกรรมการซักผ้าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประเภทเสื้อผ้า อุณหภูมิการซัก ประเภทเครื่องซักผ้าระยะ เวลาซัก ตลอดจนชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ซักผ้า เนื่องจากข้อจำกัดด้านฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จึงได้เสนอแนวทาง การตรวจวัด ติดตาม เฝ้าระวังและประเด็นท้าทายเพื่อเฝ้าระวังมลสารไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากการซักผ้า ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานวิธีเก็บตัวอย่างและวิธีวิเคราะห์ไมโครพลาสติกจากกิจกรรมการซักผ้าที่ชัดเจน การออกแบบ ระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน และแนวทางการติดตามเฝ้าระวังการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำ รวมทั้งการรณรงค์ให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ครัวเรือนเกี่ยวกับกิจกรรมที่สัมพันธ์กับการปล่อยไมโครพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อมอย่างเชื่อมโยงและเป็นองค์รวม


1. บทนำ

ปัจจุบันการปนเปื้อนมลสารไมโครพลาสติก (หรืออนุภาคพลาสติกที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร) นับเป็นประเด็นท้าทายโดยเฉพาะมิติการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบห่วงโซ่อาหารและสุขภาพอนามัยของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจน ผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน โดยการศึกษาของ Cox (2019) รายงานว่ามนุษย์บริโภคไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกาย ประมาณ 39,000 – 52,000 อนุภาคต่อปี ซึ่งเส้นทางของไมโครพลาสติกเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การรับประทาน (Ingestion) การหายใจ (Inhalation) และการถ่ายทอดพลังงาน (Energy transfer) ตามลำดับขั้นในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งการถ่ายทอดในห่วงโซ่อาหารนี้เป็นการถ่ายทอดสารพิษแบบทวีคูณโดยสารพิษมีแนวโน้มสะสมเพิ่มมากขึ้นตามลำดับชั้นของการบริโภค (Trophic level) จากผู้ผลิตขั้นต้นสู่ผู้บริโภคลำดับสุดท้ายหรือมนุษย์โดยมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนหรือสะสมในอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย (Jiang et al., 2020) เช่น รก เนื้อเยื่อหุ้มปอด เลือด เซลล์ รวมไปถึงอุจจาระด้วย สำหรับภาพรวมเชิงสถานการณ์ การใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของไมโครบีดส์เป็นองค์ประกอบ รวมไปถึงกิจกรรมการซักเสื้อผ้าในครัวเรือนซึ่งทำให้เกิดการหลุดลอกและการขาดของเส้นใย สังเคราะห์หลายชนิด ได้แก่ โพลีเอสเตอร์ อะคริลิก เรยอน และไนลอน ล้วนแต่เป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่ปล่อยไมโครพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทย พบว่า ใน ค.ศ. 2024 (พ.ศ.2567) ไทยเป็นประเทศที่มีขยะพลาสติกในทะเลสูงเป็นอันดับที่ 10 ของโลก (The Nation, 2025) ทั้งนี้ ยังพบว่าภาคอุตสาหกรรมของไทยมีการใช้พลาสติกเป็นสารตั้งต้นการผลิตในเกือบทุกสาขาและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ พบว่า โพลีเอสเตอร์ (Polyester staple fiber, Polyester filament yarn, polyester pre-oriented yarn) เป็นประเภทเส้นใยประดิษฐ์ที่พบในสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย ใน พ.ศ. 2561 – 2566 (สถาบัันพััฒนาอุุตสาหกรรมสิ่่งทอ, 2567) ด้วยเหตุนี้ กระบวนการผลิต การสวมใส่ และการซักเสื้อผ้านับเป็นกิจกรรมสำคัญที่อาจเป็นสาเหตุของการปลดปล่อยอนุภาคเส้นใยไมโครไฟเบอร์สู่สิ่งแวดล้อมโดยตรง ทั้งนี้ องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature) ได้ทำการศึกษาและรายงานว่ากระบวนการซักเสื้อผ้ามีการปลดปล่อยเส้นใยไมโครไฟเบอร์ขณะขั้นตอนการซักสูงถึงร้อยละ 35 ของจำนวนไมโครพลาสติกปฐมภูมิที่ตกค้างในมหาสมุทร (Boucher & Friot, 2017) (รูปที่ 1)

รูปที่ 1 สัดส่วนของไมโครพลาสติกปฐมภูมิที่ตกค้างในมหาสมุทรโลก (Boucher & Friot, 2017)

ถึงแม้ว่า การปลดปล่อยไมโครไฟเบอร์จากกิจกรรมการซักผ้าของครัวเรือนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศต่าง ๆ (Boucher & Friot, 2017) ได้แก่ แหล่งน้ำธรรมชาติ แม่น้ำหรือทะเล ตลอดจนสะสมในสิ่งมีชีวิตและห่วงโซ่อาหาร อย่างไรก็ดี การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และประเมินไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากกิจกรรมการซักผ้าในครัวเรือน รวมถึงการเสนอแนะแนวทางการจัดการที่ยั่งยืนยังมีอยู่อย่างจำกัดทั้งในและต่างประเทศ บทความนี้ มีวัตถุประสงค์ในการทบทวนและรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน เสนอแนะประเด็นท้าทายและแนวทางเฝ้าระวังและติดตามการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากกิจกรรมการซักผ้าในครัวเรือนและประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังรายละเอียดต่อไปนี้

2. การศึกษาวิจัยในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง

2.1 การตรวจวัดมลสารไมโครพลาสติกในน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสีย

สำหรับสถานการณ์การปนเปื้อนไมโครพลาสติกในน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนเริ่มมีการศึกษาอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการตรวจวิเคราะห์ จำแนกคุณลักษณะ รวมถึง การระบุแหล่งกำเนิดของไมโครพลาสติก สำหรับบริบทของประเทศไทย พบว่าฐานข้อมูลวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าวมีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะวิธีการและมาตรฐานที่ใช้สำหรับวิเคราะห์มลสารไมโครพลาสติก (Analytical methods) ยังไม่มีการกำหนดขั้นตอนที่แน่ชัด อย่างไรก็ดี ผลศึกษาในต่างประเทศตรวจพบอนุภาคไมโครไฟเบอร์ในสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับไมโครพลาสติกรูปร่างอื่น เช่น Mason et al. (2016) ทำการศึกษาสถานการณ์ไมโครพลาสติกในน้ำเสียจากระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น 17 แห่ง โดยตรวจพบไมโครพลาสติกในรูปแบบเส้นใย (Fiber) สูงที่สุด รองลงมาคือ แบบชิ้น (Fragment) เช่นเดียวกับ การศึกษาในประเทศสวีเดนโดย Magnusson & Norén (2014) ตรวจพบไมโครพลาสติกในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนแบบเส้นใยมากที่สุด รองลงมาคือ แบบชิ้น และแบบแผ่น ตามลำดับ สำหรับการศึกษาในประเทศไทย Kittipongvises et al. (2022) ได้วิเคราะห์ไมโครพลาสติกที่พบในน้ำเสียชุมชนก่อนการบำบัดในระบบ พบว่า ไมโครพลาสติกรูปแบบเส้นใยถูกตรวจพบมากที่สุดในตัวอย่างน้ำเสีย (ตรวจวัดในช่วงฤดูแล้ง) โดยเฉพาะไมโครพลาสติกจำพวก Polyester และ Rayon ซึ่งน่าจะเกิดจากเส้นใยที่หลุดลอกและปลดปล่อยมาจากกิจกรรมการซักผ้าของชุมชนโดยรอบ เช่นเดียวกับ ผลการวิจัยของ Hongprasith et al. (2020) ซึ่งตรวจพบไมโครพลาสติกในโรงบำบัดน้ำเสียชุมชนของไทยที่ตรวจพบไมโครพลาสติกหลายรูปร่าง โดยเฉพาะ เส้นใย แบบแผ่น ทรงกลม และรูปร่างที่ไม่สามารถระบุได้ (Unclassified shape) เป็นต้น (รูปที่ 2)

รูปที่ 2 รูปร่างของไมโครพลาสติกในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน

ที่มา: พัชชาพันธ์ รัตนพันธ์และคณะ

2.2 ไมโครพลาสติกจากกิจกรรมการซักผ้า

โดยทั่วไปแล้ว การปนเปื้อนไมโครพลาสติกจากกิจกรรมการซักผ้ามักเกิดจากการเสียดสีของเส้นใยพลาสติกของผ้าชนิดต่าง ๆ ระหว่างขั้นตอนการซัก ส่งผลให้เกิดการแตกหัก สลายและปลดปล่อยเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์ระหว่างกิจกรรมการซักผ้า การศึกษาของ Napper et al. (2016) ซึ่งได้วิเคราะห์การปล่อยเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์จากเครื่องซักผ้า โดยการแบ่งเสื้อผ้าที่เป็นเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Polyester, Acrylic, Polyester และ Cotton blend และควบคุมสภาวะการซักผ้าที่แตกต่างกัน อาทิ อุณหภูมิระหว่างการซัก ผงซักฟอก และ น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้ เป็นต้น ผลการศึกษาพบว่า การซักผ้าปล่อยเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์ชนิด Polyester มากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มเส้นใย Acrylic และกลุ่มเส้นใย Polyester/Cotton blend ตามลำดับ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ขนาดของเส้นใยไมโครพลาสติก ผู้วิจัยตรวจพบความยาวของอนุภาคไมโครพลาสติกในช่วง 5.0 – 7.8 มิลลิเมตร และ ผลศึกษายังพบว่า การซักผ้าปลดปล่อยเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์สูงถึง 700,000 ชิ้น ต่อการซักผ้า 6 กิโลกรัม

ขณะเดียวกัน Zambrano et al. (2019) ได้ทำการวิเคราะห์อนุภาคไมโครไฟเบอร์ที่เกิดจากกิจกรรมการซักผ้าประเภทต่าง ๆ ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าเรยอน และผ้าโพลีเอสเตอร์ รวมไปถึงการย่อยสลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ พบว่า ในระหว่างการซักผ้าฝ้ายและผ้าเรยอนมีการปลดปล่อยไมโครไฟเบอร์ประมาณ 1.0 x 106 ชิ้นต่อผ้าหนึ่งกิโลกรัม ในขณะที่ การซักผ้าประเภทโพลีเอสเตอร์ปลดปล่อยไมโครไฟเบอร์ 5.0 x 105 ชิ้นต่อผ้าหนึ่งกิโลกรัม อาจกล่าวได้ว่า การซักผ้าฝ้ายและผ้าเรยอนมีการปลดปล่อยไมโครไฟเบอร์ในสัดส่วนที่สูงกว่าการซักผ้าประเภทโพลีเอสเตอร์ ทั้งนี้ยังพบว่าการซักผ้าด้วยอุณหภูมิสูง (การทดลองกำหนดไว้ที่ 44 องศาเซลเซียส) และการซักด้วยผงซักฟอกนับเป็นปัจจัยที่เพิ่มการปลดปล่อยไมโครไฟเบอร์ในการซักผ้าทุกประเภท ส่วนผลการศึกษาการย่อยสลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ พบว่า เส้นใยประเภทเซลลูโลสถูกย่อยสลายได้ในสภาวะการซักด้วยน้ำอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้อง หากแต่ เส้นใยโพลีเอสเตอร์ไม่มีการย่อยสลายเมื่อเทียบกับเส้นใยประเภทเซลลูโลส อีกทั้ง งานวิจัยของ Hernandez et al. (2017) ได้จำลองการซักผ้าภายใต้สภาวะที่มีการควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การใช้ผงซักฟอก อุณหภูมิระหว่างการซัก และระยะเวลาการซัก พบว่าการใช้ผงซักฟอกในการซักผ้าปลดปล่อยไมโครไฟเบอร์ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยไมโครไฟเบอร์ส่วนใหญ่ที่พบมีความยาวตั้งแต่ 100 - 800 ไมโครเมตร

การศึกษาของ Galvão et al. (2020) ได้รวบรวมน้ำเสียจากการซักเสื้อผ้าที่ผสมกันจาก 4 ครัวเรือน โดยออกแบบการซักผ้า 205 ชิ้น ประกอบด้วยผ้าชนิดต่าง ๆ ได้แก่ เสื้อ กางเกง กางเกงขาสั้น เสื้อกันหนาว ถุงเท้า ชุดชั้นใน ชุดเดรส ผ้าปูเตียง ผ้านวม ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน พรม และผ้าขนหนู ซึ่งแต่ละชิ้นจะมีวัสดุที่หลากหลายทั้งเป็นผ้าฝ้ายที่เป็นเส้นใยธรรมชาติเพียงชนิดเดียว และประกอบด้วยเส้นใยสังเคราะห์ 5 ประเภท ได้แก่ Polyester Polyamide Viscose Elastane และAcrylic ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมการซักผ้าปลดปล่อยไมโครไฟเบอร์เฉลี่ยประมาณ 18,000,000 ชิ้นต่อผ้า 6 กิโลกรัม การกระจายตัวของไมโครไฟเบอร์ส่วนใหญ่พบอนุภาคขนาด 50 –100 ไมโครเมตร (ร้อยละ 79) รองลงมาคือ 100 – 500 ไมโครเมตร (ร้อยละ 17) และใหญ่กว่า 500 ไมโครเมตร (ร้อยละ 4) ตามลำดับ ในขณะที่ ร้อยละ 53 ของเส้นใยสังเคราะห์ที่ตรวจพบมีขนาดของอนุภาคในช่วง 50 –100 ไมโครเมตร รองลงมาคือ 100 – 500 ไมโครเมตร (ร้อยละ 40) และใหญ่กว่า 500 ไมโครเมตร (ร้อยละ7) ตามลำดับ นอกจากนี้ การศึกษาของ Yang et al. (2019) ยังพบว่าเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์ชนิด Polyester Polyamide และ Acetate ที่ซักด้วยเครื่องแบบ Pulsator (เครื่องซักผ้าฝาบน ถังเดี่ยว) ปล่อยเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์มากกว่าการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าแบบ Platen (เครื่องซักผ้าฝาหน้า) และ ยังพบว่า การซักผ้าประเภทเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์ Acetate ปล่อยไมโครพลาสติกจำนวนมากเมื่อเทียบกับการซักเส้นใยประเภทอื่น ๆ โดยตรวจพบถึง 74,816 ± 10,656 ชิ้นต่อตารางเมตรต่อการซัก นอกจากนี้ สภาวะต่าง ๆ ที่ควบคุมระหว่างการซักผ้า โดยเฉพาะอุณหภูมิในการซักผ้าที่เพิ่มขึ้นและการซักผ้าด้วยผงซักฟอก (ชนิดผง) ปล่อยเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์สูงกว่าการซักในสภาวะอื่น ขณะเดียวกัน ผลศึกษาชี้ให้เห็นว่าเส้นใยพลาสติกสังเคราะห์ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมการซักผ้าในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซักด้วยเครื่องซักผ้าหรือซักมือจะถูกทิ้งลงสู่ระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน หรือบางครั้งมีการปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมโดยตรง ทำให้เกิดการสะสมตัวของไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ จนเกิดการปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารในที่สุด

3. แนวทางการตรวจวัด ติดตาม เฝ้าระวังและประเด็นท้าทาย

จากการทบทวนวรรณกรรมและผลการศึกษาในต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง พบว่า ปัจจุบัน มีความท้าทายในการตรวจวัด ติดตาม และเฝ้าระวังการปนเปื้อนมลสารไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากกิจกรรมการซักผ้า มีหลายประเด็นดังนี้

● ข้อจำกัดด้านมาตรฐานวิธีเก็บตัวอย่างและวิธีวิเคราะห์ไมโครพลาสติกจากกิจกรรมการซักผ้า

จากที่กล่าวมาข้างต้น พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการปนเปื้อนมลสารไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากกิจกรรมการซักผ้ามีหลากหลาย ได้แก่ การควบคุมสภาวะการซักผ้า อาทิ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่ใช้ (แบบผงและแบบน้ำ) การเติม/ไม่เติมน้ำยาปรับนุ่ม รูปแบบและประเภทการซักผ้า (ซักด้วยมือ และ การซักด้วยเครื่องซักผ้าแต่ละประเภท ได้แก่ เครื่องซักผ้าฝาบนถังเดี่ยว-ถังคู่) อุณหภูมิและระยะเวลาการซัก ประเภทและอายุของเสื้อผ้า ตลอดจน รูปแบบการซักผ้าที่แตกต่างกันในแต่ละครัวเรือน ส่งผลให้รูปแบบของการปล่อยไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งจากกิจกรรมการซักผ้ามีความแตกต่างกันมาก หากแต่ ยังขาดวิธีการอันเป็นมาตรฐานสำหรับเก็บตัวอย่าง การตรวจวิเคราะห์ และการรายงานผลเพื่อตรวจติดตามไมโครพลาสติกในน้ำทิ้งอย่างเป็นรูปธรรม

● การออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน และ แนวทางการติดตามเฝ้าระวัง

ปัจจุบัน ระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนไม่ได้มีการออกแบบเพื่อการบำบัดมลสารขนาดเล็ก โดยเฉพาะไมโครพลาสติก รวมทั้ง ยังขาดแนวทางการตรวจวัด ติดตามและเฝ้าระวังความเข้มข้นของไมโครพลาสติกในน้ำเสียขาเข้า และขาออกจากกระบวนการบำบัด ตลอดจน ฐานข้อมูลประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนแต่ละชนิด

● ความตระหนักรู้ของครัวเรือนเกี่ยวกับกิจกรรมที่สัมพันธ์กับการปล่อยไมโครพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อม

เนื่องจากมลสารไมโครพลาสติกมักสัมพันธ์กับการทิ้งขยะสู่แหล่งน้ำทั้งจากที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เช่นเดียวกับ กิจกรรมการซักผ้าซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญและเป็นแหล่งปล่อยที่ใกล้ตัวกับชีวิตประจำวันของชุมชนและครัวเรือน ด้วยเหตุนี้ การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับรูปแบบการปล่อยไมโครพลาสติกแต่ละชนิดจากกิจกรรมการซักผ้าในรูปแบบต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การซักด้วยมือ หรือ ซักด้วยเครื่องซักผ้าประเภทต่าง ๆ เป็นต้น จึงเป็นประเด็นสำคัญต่อการวางแผนลดและบรรเทาผลกระทบของการปนเปื้อนมลสารไมโครพลาสติกในแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม

จากที่กล่าวมาเกี่ยวกับประเด็นความท้าทายสำหรับการจัดการไมโครพลาสติกที่ตรวจพบในน้ำเสียจากกิจกรรมการซักผ้า สามารถเสนอแนะแนวทางต่อไปนี้เพื่อเป็นการพัฒนาความเป็นไปได้ในการจัดการการปนเปื้อนมลสารไมโครพลาสติกต่อไปในอนาคต

● ควรมีการศึกษาและวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบของการซักผ้าแต่ละรูปแบบที่มีผลต่อความเข้มข้นของไมโครพลาสติกที่ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม

● ควรศึกษาความเป็นไปได้ใรการพัฒนาและวางแผนตรวจวัด ติดตามและเฝ้าระวังการปลดปล่อยมลสารไมโครพลาสติกในน้ำเสียชุมชนและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง

● ควรพัฒนาฐานข้อมูล องค์ความรู้และ เทคโนโลยีเชิงวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมที่สามารถออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถบำบัดมลสารไมโครพลาสติและสารมลพิษอุบัติใหม่ (Emerging pollutants) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้งานได้จริง

● ควรสร้างความตระหนักรู้และประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนทราบเกี่ยวกับกิจกรรมชีวิตประจำวันที่สัมพันธ์กับการปล่อยมลสารไมโครพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อม และให้ความรู้แก่ภาคประชาสังคมเกี่ยวกับแนวคิดวิถีการผลิตและบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Production and Consumption)

4. กิตติกรรมประกาศ

คณะผู้วิจัยขอขอบคุณกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) : งบประมาณด้าน ววน. ประเภท Fundamental Fund ประจำปีงบประมาณ 2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สนับสนุนการดำเนินโครงการวิจัยและบทความวิชาการนี้


เอกสารอ้างอิง

สถาบัันพััฒนาอุุตสาหกรรมสิ่่งทอ (Thailand Textile Institute : THTI). (2567). สถิติสิ่งทอไทย 2566/2567. https://www.thaitextile.org/upload/file/th-dl-a5468f4a8a184cd13696974d780a32a2.pdfBoucher, J., & Friot, D. (2017). Primary Microplastics in the Oceans. Mar Environ Res, 111, 18–26. https://doi.org/10.2305/IUCN.CH.2017.01.en

Cox, K.D., Covernton, G.A., Davies, H.L., Dower, J.F., Juanes, F. and Dudas, Sa.E. (2019). Human Consumption of Microplastics. Environ Sci Technol, 53(12), 7068-7074.

Galvão, A., Aleixo, M., De, P.H., Lopes C. and Raimundo J. (2020). Microplastics in wastewater: microfiber emissions from common household laundry. Environ Sci Pollut Res, 27, 26643–26649.

Hernandez, E., Nowack, B., and Mitrano M.D. (2017). Polyester textiles as a source of microplastics from households: a mechanistic study to understand microfiber release during washing. Environ Sci Technol, 51(12), 7036-7046.

Hongprasith, N., Kittimethawong, C., Lertluksanaporn, R., Eamchotchawalit, T., Kittipongvises S. and Lohwacharin J. (2020). IR microspectroscopic identification of microplastics in municipal wastewater treatment plants. Environ Sci Pollut Res Int, 27, 18557–18564.

Kittipongvises, S., Phetrak, A., Hongprasith, N. and Lohwacharin, J. (2022). Unravelling capability of municipal wastewater treatment plant in Thailand for microplastics: Effects of seasonality on detection, fate and transport. J Environ Manag, 302(A), 113990.

Magnusson, K., Nor´ en, F. (2014). Screening of Microplastic Particles in and Down-Stream a Wastewater Treatment Plant. Retrieved from https://doi.org/naturvardsverket-2226.

Mason, S. A., Garneau, D., Sutton, R., Chu, Y., Ehmann, K., Barnes, J., Rogers, D. L. (2016). Microplastic pollution is widely detected in US municipal wastewater treatment plant effluent. Environ Pollut, 218, 1045–1054. https://doi.org/10.1016/j.envpol.2016.08.056

Napper, I.E. and Thompson R.C. (2016). Release of synthetic microplastic plastic fibers from domestic washing machines: Effects of fabric type and washing conditions. Mar Pollut Bull, 112(1-2), 39-45.

The Nation. (2025). Thailand enhances marine debris management with new litter traps. Retrieved from https://www.nationthailand.com/sustainability/40045797

Yang, L., Qiao, F., Lei, K., Li, H., Kang, Y., Cui, S., and An, L. (2019). Microfiber release from different fabrics during washing. Environ Pollut, 249, 136–143.

Zambrano, C.M., Pawlak, J.J., Daystar, J., Ankeny, M., Cheng, J.J. and Venditti, A.R. (2019). Microfibers generated from the laundering of cotton, rayon and polyester based fabrics and their aquatic biodegradation. Mar Pollut.Bull,142, 394-407.

Jiang, B., Kauffman, A.E., Li, L., McFee, W., Cai, B., Weinstein, J., Lead, J.R., Chatterjee,

S., Scott, G.I. and Xiao, S. (2020). Health impacts of environmental contamination of micro- and nanoplastics: a review. Environ. Health Prev. Med, 25(1): 29.

- No file available -

บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 2686-9248 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์