พลังงานชีวภาพและสารเคมีชีวภาพของไทย: โอกาสและความท้าทายสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

บทคัดย่อ

บทความนี้นำเสนอการวิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพและสารเคมีชีวภาพในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการประเมินโอกาสและความท้าทาย ที่ประเทศต้องเผชิญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดังกล่าวให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) บทความสำรวจแหล่งชีวมวลที่มีศักยภาพ กระบวนการแปรรูปที่สำคัญทั้งกระบวนการทางความร้อน กระบวนการทางชีวเคมี และกระบวนการทางเคมี ตลอดจนสถานการณ์ปัจจุบันของนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบทางการเกษตร ฐานการผลิตอาหาร และแนวโน้มการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ขณะที่ความท้าทายสำคัญ ได้แก่ ต้นทุนการผลิต เทคโนโลยีที่ยังจำกัด และความไม่ต่อเนื่องของนโยบายสาธารณะ บทความเสนอแนวทางบูรณาการนโยบาย การส่งเสริมนวัตกรรม การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เอื้อต่อความยั่งยืน บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า พลังงานชีวภาพและสารเคมีชีวภาพสามารถเป็นกลไกสำคัญในการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรในประเทศ และสนับสนุนการเติบโตที่สมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย


1. บทนำ

ในทศวรรษที่ผ่านมา โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญสามประการ ได้แก่ วิกฤตพลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะและของเสีย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก การพัฒนาพลังงานทดแทนและสารเคมีชีวภาพจึงเป็นทางออกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ (IPCC, 2023) โดยพลังงานชีวมวลเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานหมุนเวียน (renewable energy) ที่สำคัญ หรือคิดเป็นร้อยละ 55.1 ของพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดทั่วโลก หรือประมาณร้อยละ 9.4 ของการใช้พลังงานขั้นต้นทั่วโลก (IEA, 2023) นอกจากนี้ชีวมวลยังเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสารเคมีชีวภาพ (biochemicals) และวัสดุชีวภาพ (biomaterials) ซึ่งสามารถทดแทนผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมได้ ตลาดสารเคมีชีวภาพทั่วโลกมีมูลค่า 107.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 12.6 ต่อปี ระหว่างปี 2567–2573 ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการเติบโตนี้ ได้แก่ นโยบายลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแปรรูปชีวมวล (Grand View Research, 2024) การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวลสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) และเศรษฐกิจชีวภาพ (bioeconomy) ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวลสามารถส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างงาน ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก และลดการพึ่งพาทรัพยากรที่ไม่สามารถทดแทนได้

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวล เนื่องจากเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมาก วัตถุดิบชีวมวลในประเทศไทยมาจากสามแหล่งหลัก ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม ภาคป่าไม้ และภาคอุตสาหกรรม (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, 2565) Prasertsan และ Sajjakulnukit (2006) รายงานว่า ประเทศไทยมีศักยภาพวัสดุชีวมวลเหลือใช้ทางการเกษตรประมาณ 61 ล้านตันต่อปี โดยชีวมวลที่มีปริมาณมากที่สุด ได้แก่ ฟางข้าว รองลงมาคือใบและยอดอ้อย ใบและทางปาล์ม (ตารางที่ 1) นอกจากนี้ ของเสียจากกระบวนการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรในภาคอุตสาหกรรมก็เป็นแหล่งชีวมวลที่สำคัญ เช่น ชานอ้อย แกลบ เหล้ามันสำปะหลัง และทะลายปาล์มเปล่า โดย Papong et al. (2021) ประมาณการว่า อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูปของไทยสร้างชีวมวลเหล่านี้มากกว่า 20 ล้านตันต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการผลิตพลังงานภายในโรงงาน แต่ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น ๆ สวนป่าเศรษฐกิจ เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ไม้กระถินเทพา และไม้สนทะเล รวมถึงเศษไม้จากการตัดแต่งกิ่ง เป็นอีกหนึ่งแหล่งชีวมวลที่มีศักยภาพ Intongkaew et al. (2017) รายงานว่าพื้นที่สวนป่าเศรษฐกิจของไทยมีประมาณ 4.8 ล้านไร่ ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตไม้เพื่อพลังงานได้ 10-15 ล้านตันต่อปี ชีวมวลเหล่านี้มีศักยภาพในการผลิตพลังงานมากกว่า 40,000 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 40 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศ ข้อมูลองค์ประกอบทางเคมี (ตารางที่ 1) แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสัดส่วนเซลลูโลส (cellulose) เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) และลิกนิน (lignin) ในชีวมวลแต่ละประเภท ซึ่งส่งผลต่อความเหมาะสมในการนำไปใช้ในกระบวนการแปรรูปต่าง ๆ ชีวมวลที่มีสัดส่วนเซลลูโลสสูง เช่น เศษไม้ยางพาราและชานอ้อย มีความเหมาะสมในการนำไปผลิตเอทานอลหรือสารเคมีชีวภาพ ขณะที่ชีวมวลที่มีลิกนินสูง มีความเหมาะสมในการนำไปผลิตพลังงานความร้อนโดยตรง

ตารางที่ 1 ชีวมวลเหลือใช้ทางการเกษตรที่มีศักยภาพในประเทศไทย

Table1_003.jpg ที่มา: ดัดแปลงจาก Prasertsan และ Sajjakulnukit (2006), กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (2565)

ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำชีวมวลมาใช้ในการผลิตพลังงานเป็นหลัก โดยมีโรงไฟฟ้าชีวมวลที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วจำนวน 227 แห่ง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 3,892 เมกะวัตต์ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, 2565) นอกจากนี้ ยังมีการนำชีวมวลมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น เอทานอลและไบโอดีเซล โดยในปี 2565 ประเทศไทยมีการผลิตเอทานอลรวม 1,580 ล้านลิตร และไบโอดีเซลรวม 1,620 ล้านลิตร (USDA, 2023) การพัฒนาอุตสาหกรรมสารเคมีชีวภาพจากชีวมวลในประเทศไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่มีการลงทุนและวิจัยพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพและกรดอินทรีย์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาลไทย (สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ, 2564)

2. กระบวนการแปรรูปชีวมวลเป็นพลังงานและสารเคมีชีวภาพ

กระบวนการแปรรูปชีวมวลสามารถแบ่งออกเป็น 3 วิธีหลัก ได้แก่ กระบวนการทางความร้อน (thermochemical processes) กระบวนการทางชีวเคมี (biochemical processes) และกระบวนการทางเคมี (chemical processes) (Osman et al., 2021; Ashokkumar et al., 2022) แต่ละกระบวนการมีข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมกับชีวมวลที่แตกต่างกัน ดังแสดงในรูปที่ 1

2.1 กระบวนการทางความร้อน (Thermochemical processes)

กระบวนการทางความร้อนเป็นการใช้ความร้อนในการแปรรูปชีวมวลให้เป็นพลังงานหรือสารเคมี ซึ่งกระบวนการหลักประกอบด้วย

• การเผาไหม้โดยตรง (Direct combustion) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แพร่หลายที่สุดในการผลิตความร้อนและไฟฟ้าจากชีวมวล โดยมีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 20–40 ขึ้นอยู่กับขนาดและเทคโนโลยีของระบบ (Banos et al., 2012) สำหรับประเทศไทย เทคโนโลยีนี้ใช้ในโรงไฟฟ้าชีวมวลโดยมีวัตถุดิบหลัก เช่น ชานอ้อย แกลบ เศษไม้ยางพารา เป็นต้น

• แกซิฟิเคชัน (Gasification) เป็นกระบวนการแปรรูปชีวมวลเป็นแก๊สเชื้อเพลิงหรือแก๊สสังเคราะห์ (syngas) ในสภาวะที่มีออกซิเจนจำกัด ที่อุณหภูมิ 800–1,200 °C แก๊สที่ผลิตได้มีองค์ประกอบหลัก คือ คาร์บอน มอนอกไซด์ (CO) ไฮโดรเจน (H2) มีเทน (CH4) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า ความร้อน หรือสังเคราะห์เป็นเชื้อเพลิงเหลวและสารเคมีชีวภาพ (Sikarwar et al., 2016) ประเทศไทยมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในระดับต้นแบบและเชิงพาณิชย์บางส่วน โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 50 เมกะวัตต์ในปี 2564 (EPPO, 2023)

Picture1_003.jpg

รูปที่ 1 กระบวนการแปรรูปชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและสารเคมีชีวภาพ

• ไพโรไลซิส (Pyrolysis) เป็นกระบวนการสลายตัวของชีวมวลในสภาวะไร้ออกซิเจน ที่อุณหภูมิ 300–600 °C ผลิตภัณฑ์หลักที่ได้คือ น้ำมันชีวภาพหรือไบโอออยล์ (bio-oil) ถ่านชีวภาพ (biochar) และแก๊สเชื้อเพลิง โดยสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการดำเนินการ โดยไพโรไลซิสแบบเร็ว (fast pyrolysis) ที่อุณหภูมิ 500°C สามารถผลิตไบโอออยล์ได้ถึงร้อยละ 75 ของน้ำหนักแห้ง (Bridgwater, 2012) ซึ่งไบโอออยล์นี้สามารถนำไปอัพเกรดเป็นเชื้อเพลิงหรือสารเคมีชีวภาพต่อไปได้

• การแปรรูปแบบไฮโดรเทอร์มัล (Hydrothermal processing) เป็นกระบวนการที่ใช้น้ำที่อุณหภูมิและความดันสูงในการแปรรูปชีวมวลที่มีความชื้นสูง เช่น สาหร่าย ของเสียอินทรีย์ (Tekin et al., 2014) ชนิดและปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาวะการดำเนินการ ได้แก่ ถ่านชีวภาพ (180–250 °C) ไบโอออยล์ (250–375 °C) และแก๊สเชื้อเพลิง (>375 °C) (Manthanker et al., 2021)

2.2 กระบวนการทางชีวเคมี (Biochemical processes)

กระบวนการทางชีวเคมีใช้จุลินทรีย์หรือเอนไซม์ในการย่อยสลายชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงหรือสารเคมีชีวภาพ เช่น

• การหมัก (Fermentation) เป็นกระบวนการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตโดยจุลินทรีย์ในสภาวะไร้ออกซิเจนเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ (เช่น เอทานอล) หรือกรดอินทรีย์ (เช่น กรดแลคติก กรดซัคซินิก) โดยประเทศไทยมีการใช้กระบวนการหมักในการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลัง Chamnipa et al. (2018) รายงานว่า ประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอลจำนวน 27 แห่ง กำลังการผลิตรวม 6.26 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพียงร้อยละ 65 ในปี 2564 ทั้งนี้ กระบวนการหมักแบบดั้งเดิมมีข้อจำกัดในการใช้วัตถุดิบที่มีลิกโนเซลลูโลสสูง จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีเอทานอลรุ่นที่ 2 (2nd generation ethanol) โดยมีการปรับสภาพ (pretreatment) วัตถุดิบชีวมวลก่อนเพื่อแยกองค์ประกอบลิกนินออก และเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายเซลลูโลสและเฮมิเซลลูโลสเป็นน้ำตาล (Niju et al., 2020)

• การย่อยสลายแบบไร้อากาศ (Anaerobic digestion) เป็นกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์ในสภาวะไร้ออกซิเจนเพื่อผลิตแก๊สชีวภาพ (biogas) ซึ่งประกอบด้วย CH4 (ร้อยละ 50–70) และ CO2 (ร้อยละ 30–50) สามารถนำไปใช้ผลิตไฟฟ้า ความร้อน หรือเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะได้ (Kaparaju et al., 2009) การใช้เทคโนโลยีนี้ในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในการจัดการน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตร เช่น โรงงานน้ำตาล โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม กระทรวงพลังงาน (2023) รายงานว่า ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าแก๊สชีวภาพขนาดเล็กมาก (VSPP) จำนวน 191 แห่ง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 578.55 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการนำแก๊สชีวภาพมาปรับปรุงคุณภาพเป็นไบโอมีเทนอัด (compressed biomethane gas, CBG) ทดแทนการใช้ NGV (natural gas for vehicles) โดยในปี 2564 มีโรงงาน CBG ต้นแบบจำนวน 5 แห่ง กำลังการผลิตรวม 30 ตันต่อวัน (EPPO, 2023)

2.3 กระบวนการทางเคมี (Chemical processes)

การแปรรูปชีวมวลหรือน้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิงหรือสารเคมีชีวภาพนิยมใช้กระบวนการทางเคมี ซึ่งมีเทคโนโลยีที่สำคัญ ประกอบด้วย

• ทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน (Transesterification) เป็นกระบวนการหลักในการผลิตไบโอดีเซล โดยการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์กับแอลกอฮอล์ (เช่น เมทานอล) ในสภาวะที่มีตัวเร่งปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเมทิลเอสเทอร์ของกรดไขมัน (fatty acid methyl esters) หรือ

ไบโอดีเซล (biodiesel) และได้กลีเซอรอล (glycerol) เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ (Jindapon et al., 2020) อุตสาหกรรมไบโอดีเซลในประเทศไทยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นวัตถุดิบหลัก โดยในปี 2564 มีโรงงานผลิตไบโอดีเซลจำนวน 14 แห่ง กำลังการผลิตรวม 8.7 ล้านลิตรต่อวัน หรือประมาณ 2,900 ล้านลิตรต่อปี อย่างไรก็ตาม มีการใช้กำลังการผลิตเพียงร้อยละ 60–70 เนื่องจากข้อจำกัดด้านวัตถุดิบและตลาด (DEDE, 2022)

• ไฮโดรจีโนไลซิส (Hydrogenolysis) เป็นกระบวนการที่ใช้ H2 ในการแปรรูปน้ำมันพืช คาร์โบไฮเดรต ลิกนิน หรือสารอินทรีย์อื่น ๆ ที่เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากอุตสาหกรรม เพื่อผลิตเชื้อเพลิงเหลว เช่น น้ำมันดีเซลชีวภาพ (bio-based diesel) หรือสารเคมีชีวภาพ เช่น ซอร์บิทอล (sorbitol) นอกจากนี้ยังเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการแปรรูปไบโอออยล์ไปเป็นฟีนอลชีวภาพ (bio-phenol) (Hongkailers et al., 2024) และการผลิตโอเลฟินจากกลีเซอรอล (Chotirattanachote et al., 2025)

• การสังเคราะห์ทางเคมีอื่น ๆ (Other chemical synthesis) เกี่ยวข้องกับการแปรรูปสารตั้งต้นจากชีวมวล เช่น น้ำตาล กลีเซอรอล เป็นสารเคมีชีวภาพมูลค่าสูง เช่น กรดแลคติก กรดซักซินิก เอทิลีนไกลคอล ผ่านปฏิกิริยาเคมีเส้นทางต่าง ๆ โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาและสภาวะที่เหมาะสม บริษัทเอกชนหลายแห่งในประเทศไทยมีการลงทุนในการผลิตสารเคมีชีวภาพ เช่น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ผลิตพลาสติกชีวภาพ (bioplastics) จากน้ำตาลอ้อย บริษัท คอร์บิออน (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตกรดแลคติกจากน้ำตาลและแป้งมันสำปะหลัง และบริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) ผลิตพลาสติกชีวภาพจากแป้งมันสำปะหลัง (BOI, 2023)

3. สถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมชีวมวลในประเทศไทย

ประเทศไทยได้จัดทำแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan: AEDP) เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ โดยแผน AEDP 2018-2037 ฉบับล่าสุดได้ตั้งเป้าหมายสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่ร้อยละ 30 ภายในปี 2580 (กระทรวงพลังงาน, 2562) สำหรับพลังงานชีวมวล แผนดังกล่าวตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตรวม 5,570 เมกะวัตต์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลชุมชนขนาดเล็กและการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (pellets) ในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้นโยบาย AEDP ประสบความสำเร็จคือ การมีโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าที่จูงใจในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) และมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานตามแผนยังมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการจัดหาวัตถุดิบชีวมวลที่มีราคาแข่งขันได้และมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ (Wattana, 2022)

รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2564 เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร พลังงานและวัสดุชีวภาพ และการแพทย์และสุขภาพ เป็นสาขาสำคัญ (สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ, 2564) นโยบาย BCG ช่วยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวลในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปชีวมวลเพื่อผลิตพลังงานและผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวยังมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการและแปรรูปชีวมวลเพื่อสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิต

ประเทศไทยมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวมวลหลายรูปแบบ โดย BOI กำหนดให้กิจการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนและสารเคมีชีวภาพเป็นกิจการเป้าหมายพิเศษที่ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ได้แก่ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี (BOI, 2023) นอกจากนี้ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ENCON Fund) ภายใต้การกำกับของกระทรวงพลังงาน ยังให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่โครงการพลังงานทดแทนขนาดเล็กและการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานชีวมวล ซึ่งมาตรการสนับสนุนทางการเงินเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวมวลของไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนเทคโนโลยียังสูงและความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับเชื้อเพลิงฟอสซิลยังมีจำกัด

การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวลในประเทศไทยยังมีส่วนสำคัญในการสร้างคาร์บอนเครดิต (carbon credit) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี 2593 ปัจจุบันคาร์บอนเครดิตจากพลังงานชีวมวลมีการซื้อขายในตลาดไทยในราคาเฉลี่ย 174.52 บาทต่อตัน CO2 เทียบเท่า โดยในปีงบประมาณ 2567 มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากชีวมวลรวม 293,846 ตัน คิดเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในตลาดคาร์บอนเครดิตของไทย (The Nation, 2025) นอกจากนี้การขยายกำลังการผลิตสารเคมีชีวภาพจากวัตถุดิบชีวมวล เช่น อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (ADB, 2023) ไม่เพียงช่วยทดแทนผลิตภัณฑ์จากแหล่งฟอสซิล แต่ยังสร้างคาร์บอนเครดิตเพิ่มเติมจากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามความต้องการคาร์บอนเครดิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนคาร์บอนเครดิตในตลาด สถานการณ์นี้จึงเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมชีวมวลขยายบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตคาร์บอนเครดิตและผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศในระยะยาว

ตารางที่ 2 ความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมชีวมวลของไทยกับ UN SDGs

Table2_003.jpg

ตารางที่ 2 ความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมชีวมวลของไทยกับ UN SDGs (ต่อ)

Table22_003.jpg

4. การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมชีวมวลของไทยกับ UN SDGs

อุตสาหกรรมชีวมวลของไทยมีบทบาทสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals, SDGs) ดังสรุปไว้ในตารางที่ 2 ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนี้

• SDG 7: พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้

พลังงานชีวมวลช่วยเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนของประเทศ ซึ่งตามแผน AEDP 2024 ประเทศไทยตั้งเป้าหมายร้อยละ 36 ของพลังงานขั้นสุดท้ายภายในปี 2580 โดยในปี 2563 พลังงานชีวมวลคิดเป็นร้อยละ 17.4 ของพลังงานทดแทนทั้งหมด นอกจากนี้ การส่งเสริมการใช้เอทานอลและไบโอดีเซลสามารถลดการนำเข้าน้ำมันดิบได้ร้อยละ 10–15 และลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกในภาคขนส่ง (Silalertruksa & Gheewala, 2020) พลังงานชีวมวลยังส่งเสริมการกระจายการผลิตสู่ชุมชนชนบท เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวลชุมชนและระบบแก๊สชีวภาพครัวเรือน ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าถึงพลังงานและลดความเหลื่อมล้ำ อีกทั้งยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานที่สูงถึงร้อยละ 60 ของการใช้พลังงานทั้งหมด (บรรพต และ สมพงษ์, 2022)

• SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

อุตสาหกรรมชีวมวลสร้างงานกว่า 200,000 ตำแหน่งในภาคชนบท โดยเฉพาะในภาคเกษตรและการแปรรูป (Chanthawong & Dhakal, 2020) โครงการชีวมวลชุมชนยังช่วยลดการอพยพแรงงานและเสริมรายได้ท้องถิ่น อีกทั้งยังเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ การพัฒนาทักษะแรงงานในสาขาพลังงานสะอาดเป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยโครงการด้านพลังงานทดแทนช่วยยกระดับทักษะของแรงงานในพื้นที่ชนบท (Papong et al., 2021)

• SDG 9: อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน

ประเทศไทยมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวมวลหลายรูปแบบ (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน, 2020) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การใช้ชีวมวลในอุตสาหกรรมพลังงานสูง (energy-intensive industries) ช่วยลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ทั้งนี้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบจัดเก็บชีวมวล โรงงานแปรรูป และโลจิสติกส์ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในอุตสาหกรรมชีวมวล

• SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

การใช้วัสดุเหลือใช้ทางเกษตรและอุตสาหกรรมช่วยลดของเสียจากการเผาและฝังกลบ ประเทศไทยมีศักยภาพวัสดุเหลือใช้กว่า 61 ล้านตัน/ปี และสามารถลด CO2 ได้มากกว่า 20 ล้านตัน/ปี (Prasertsan และ Sajjakulnukit, 2006) การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวลยังสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในนโยบาย BCG ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและลดของเสียตามแนวทางการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (sustainable consumption and production, SCP) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ยั่งยืน เช่น พลาสติกชีวภาพที่มีการผลิตถึง 95,000 ตัน/ปี และส่งออกสู่สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น (Manufacturing Expo, 2025)

• SDG 13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การใช้ชีวมวลแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลสามารถลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกได้ และลดการเผาในที่โล่งซึ่งเป็นแหล่ง PM2.5 ที่สำคัญ การประเมินวัฏจักรชีวิต (life cycle assessment) พบว่า การใช้เชื้อเพลิงเอทานอลจากชีวมวลสามารถลดการปล่อย CO2 ได้ถึงร้อยละ 30–60 เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงปกติ (Papong et al., 2021) นอกจากนี้ โครงการคาร์บอนเครดิตของไทย (T-VER) มีสัดส่วนจากพลังงานชีวมวลและแก๊สชีวภาพถึงร้อยละ 40 (Chanthawong & Dhakal, 2016) และคาดว่าการซื้อขายคาร์บอนจะเติบโตตามเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 (สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, 2565)

5. ความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวลของไทย

5.1 ความท้าทายทางเทคนิคและเศรษฐกิจ

อุตสาหกรรมชีวมวลในประเทศไทยยังเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงและความสามารถในการแข่งขันกับเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลที่มีต้นทุนเฉลี่ยสูงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลร้อยละ 50–75 แม้จะมีกลไกสนับสนุนด้านราคาแต่ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและต้นทุนการขนส่งยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เทคโนโลยีการแปรรูปชีวมวลที่ใช้ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าเทคโนโลยีในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลาง ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวลในไทยอยู่ที่ร้อยละ 20–30 (Peerapong et al., 2025) ขณะที่เทคโนโลยีขั้นสูงในต่างประเทศสามารถให้ประสิทธิภาพถึงร้อยละ 40 (IEA, 2007) ซึ่งส่งผลต่อความคุ้มค่าในการลงทุนและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม การขาดแคลนเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในประเทศยังเป็นข้อจำกัดสำคัญ (Thai Examiner, 2019) ซึ่งอุตสาหกรรมชีวมวลของไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีการผลิตและเครื่องจักรจากต่างประเทศในสัดส่วนสูง และมีการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง วิศวกรรมกระบวนการชีวภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ส่งผลให้การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศทำได้อย่างจำกัด

5.2 ความท้าทายเชิงนโยบายและการกำกับดูแล

ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวมวล เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของไทยบ่อยครั้ง (ภิญโญ, 2562) ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมบางประการยังขาดความต่อเนื่องและไม่สอดคล้องกับศักยภาพการผลิตจริงในแต่ละภูมิภาค (ปิติพีร์, 2560) กระบวนการขออนุญาตและการควบคุมมลพิษเป็นอีกความท้าทายสำคัญ ซึ่งการขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปชีวมวลในไทยมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน เนื่องจากต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายหน่วยงาน และมีขั้นตอนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ยุ่งยาก (อริศรา, 2561) นอกจากนี้ มาตรฐานการควบคุมมลพิษจากโรงงานชีวมวลยังมีความเข้มงวดมากขึ้น (ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น, 2563) แต่การบังคับใช้กฎหมายและการติดตามตรวจสอบยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทั้งนี้การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวลเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่การบูรณาการนโยบายและการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานเหล่านี้ยังมีจำกัด ทำให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมขาดความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพ

5.3 โอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวมวล

ตลาดผลิตภัณฑ์ชีวภาพทั่วโลกกำลังขยายตัว โดยเฉพาะพลาสติกชีวภาพ สารเคมีชีวภาพ และเชื้อเพลิงชีวภาพขั้นสูง (DATAINTELO, 2025) ประเทศไทยมีศักยภาพสูงจากฐานวัตถุดิบเกษตรที่หลากหลาย เทคโนโลยีแปรรูปสมัยใหม่ เช่น แกซิฟิเคชันแบบฟลูอิไดซ์เบด (fluidized bed gasification) ไพโรไลซิสแบบเร็ว (fast pyrolysis) และไฮโดรเทอร์มอลลิควิแฟคชัน (hydrothermal liquefaction) มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถแปรรูปชีวมวลหลากหลายประเภทได้ นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้แนวคิดไบโอรีไฟเนอรี (biorefinery concept) ซึ่งเป็นการผลิตพลังงานและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงหลายชนิดจากชีวมวลในโรงงานเดียวกัน ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและความคุ้มค่าในการลงทุน ความร่วมมือระหว่างประเทศและการถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นโอกาสอีกประการหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยมีความร่วมมือด้านพลังงานชีวมวลกับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น (ODA Project Website, 2022) เยอรมนี (GIZ Thailand, 2025) และเดนมาร์ก (กนกวรรณ, 2567) ทั้งในรูปแบบความช่วยเหลือทางวิชาการ การวิจัยและพัฒนาร่วม และการลงทุน ความร่วมมือเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างศักยภาพทางเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคลากรในประเทศ รวมถึงการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ

6. บทสรุปและข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาในอนาคต

อุตสาหกรรมการแปรรูปชีวมวลมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ทั้งในด้านการใช้พลังงานสะอาด การลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการสร้างงานในพื้นที่ชนบท กระบวนการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและสารเคมีชีวภาพจากชีวมวลสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากฟอสซิล และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนที่มีอยู่ภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) หลายด้าน โดยเฉพาะในประเด็นพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมและนวัตกรรม การบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวมวลให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมในทุกมิติ

ภาครัฐควรกำหนดนโยบายและเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน บูรณาการแผนงานของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และจัดสรรงบประมาณเพื่อการวิจัย พัฒนา และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งติดตามประเมินผลนโยบายเพื่อปรับปรุงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบททางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชนควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาแผนธุรกิจที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดที่ลดของเสียและมลพิษ และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนนวัตกรรม และการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ในส่วนของนักวิจัย ควรมุ่งเน้นการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และการสร้างผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงจากวัตถุดิบท้องถิ่น ควรมีการวิจัยเชิงนโยบายและเศรษฐศาสตร์เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และแนวทางการบูรณาการเทคโนโลยีชีวมวลกับแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานในภาพรวม

หากประเทศไทยไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวมวลอย่างจริงจัง เราจะเผชิญความเสี่ยงการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิลมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาน้ำมันดิบโลกและการสูญเสียเงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาล พร้อมทั้งตกขบวนในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีสีเขียวและตลาดคาร์บอนที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท เกษตรกรจะสูญเสียโอกาสเพิ่มรายได้จากการแปรรูปชีวมวล ส่งผลให้ช่องว่างรายได้ระหว่างเมืองและชนบทกว้างมากขึ้น ขณะที่ปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาชีวมวลยังคงทวีความรุนแรง ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งเศรษฐกิจของประเทศและสุขภาพของประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นไทยจะสูญเสียโอกาสในการเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนตามที่ประกาศไว้ ส่งผลให้สินค้าส่งออกไทยเสียความได้เปรียบในตลาดโลกที่เน้นความยั่งยืนมากขึ้น

โดยสรุป อุตสาหกรรมชีวมวลของไทยมีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน หากมีการออกแบบนโยบายอย่างมีวิสัยทัศน์ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และสร้างความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ประเทศไทยจะสามารถใช้ชีวมวลเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ในระยะยาว

กิตติกรรมประกาศ

ผู้เขียนขอขอบคุณ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการเร่งปฏิกิริยาสำหรับพลังงานชีวภาพและสารเคมีหมุนเวียน คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับการสนับสนุนการสืบค้นข้อมูลและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง และขอแสดงความขอบคุณ บริษัท ฟรอนเทียร์ไลฟ์ จำกัด สำหรับความช่วยเหลือในการจัดทำบทความวิชาการฉบับนี้


เอกสารอ้างอิง

กนกวรรณ เกิดผลานันท์. (2567). เปิดสัมพันธ์‘เดนมาร์ก-ไทย’ เสริมแกร่ง‘เอฟทีเออียู-โออีซีดี’. กรุงเทพธุรกิจ. สืบค้นจาก https://www.bangkokbiznews.com/world/1153706

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน. (2565). สถิติพลังงานทดแทนของประเทศไทย ปี 2565. กระทรวงพลังงาน.

กระทรวงพลังงาน. (2023). สถานภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงพลังงาน.

กระทรวงพลังงาน. (2562). แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561-2580 (AEDP 2018). กระทรวงพลังงาน.

บรรพต วัฒนายนต์ และ สมพงษ์ วัฒนายนต์. (2022). นโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคขนส่งและไฟฟ้าของประเทศไทย. วารสารนโยบายพลังงานเอเชีย, 42, 100901.

ปิติพีร์ รวมเมฆ. (2560). โอกาสทางการตลาดและปัจจัยแห่งความสาเร็จของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงาน

ชีวมวล. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 11, 259–274.

ภิญโญ มีชำนะ. (2562). ผลกระทบของแผนพลังงานไฟฟ้า PDP2018 ที่มีต่ออนาคตพลังงานไทย. ThaiPublica. สืบค้นจาก https://thaipublica.org/2019/10/pinyo-meechumna06/

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย. (2565). คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คืออะไร. สืบค้นจาก https://www.tei.or.th/th/article_detail.php?bid=129

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน. (2022). รายงานประจำปี 2565. กระทรวงพลังงาน.

สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ. (2564). BCG Economy Model: โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.

ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น. (2563). แนวทางการดำเนินงานเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

อริศรา เหล็กคำ. (2561). พลังงานชีวมวลในประเทศไทย นโยบาย กฎหมาย และการเปลี่ยนผ่าน. การประชุมวิชาการสาขานิติศาสตร์ระดับชาติครั้งที่ 1, 8 มิถุนายน 2561, เชียงใหม่.

ADB (Asia Development Bank). (2023). Is there a case for bioplastics? Experience from Thailand. Retrieved from http://dx.doi.org/10.22617/BRF230490-2

Ashokkumar, V., Venkatkarthick, R., Jayashree, S., Chuetor, S., Dharmaraj, S., Kumar, G., Chen, W.-H., & Ngamcharussrivichai, C. (2022). Recent advances in lignocellulosic biomass for biofuels and value-added bioproducts – A critical review. Bioresource Technology, 344, 126195.

BOI (Thailand Board of Investment). (2023). Investment promotion in bio-industry. Retrieved from https://www.boi.go.th/

Banos, R., Manzano-Agugliaro, F., Montoya, F.G., Gil, C., Alcayde, A., & Gómez, J. (2012). Optimization methods applied to renewable and sustainable energy: A review. Renewable and Sustainable Energy Reviews, 16(4), 1753-1766.

Bridgwater, A.V. (2012). Review of fast pyrolysis of biomass and product upgrading. Biomass and Bioenergy, 38, 68–94.

Chamnipa, N., Thanonkeo, S., Klanrit, P., & Thanonkeo, P. (2018). The potential of the newly isolated thermotolerant yeast Pichia kudriavzevii RZ8-1 for high-temperature ethanol production. Brazilian Journal of Microbiology, 49, 378–391.

Chanthawong, A., & Dhakal, S. (2016). Stakeholders' perceptions on challenges and opportunities for biodiesel and bioethanol policy development in Thailand. Energy Policy, 91, 189–206.

Chaichaloempreecha, A., Wanapat, S., & Tragoonwichian, S. (2019). The Biomass Logistics System in Thailand: Challenges and Development Approaches. Energy Procedia, 156, 419-423.

Chotirattanachote, A., Chaowamalee, S., Khammee, W., Yokoi, T., & Ngamcharussrivichai, C. (2025). One-pot production of light olefins via selective C–O hydrogenolysis over Pt-based hierarchical core–shell zeolite–mesoporous silica structured catalysts. Fuel, 384, 133984.

DATAINTEDO. (2025). Bioproducts Market. Retrieved from https://dataintelo.com/report/ bioproducts-market

DEDE (Department of Alternative Energy Development and Efficiency). (2022). Thailand alternative energy development plan. Ministry of Energy, Thailand.

EPPO (Energy Policy and Planning Office). (2023). Thailand energy statistics report 2023. Ministry of Energy, Thailand.

GIZ Thailand. (2025). Clean, Affordable and Secure Energy for Southeast Asia (CASE). German Corporation for International Cooperation. Retrieved from https://www.thai-german-cooperation.info/en_US/clean-affordable-and-secure-energy-for-southeast-asia-case/

Grand View Research. (2024). Bio-based Chemicals Market Size, Share & Trends Analysis Report By Product (Bio-alcohols, Organic Acids, Bio-polymers), By Application (Industrial, Food & Beverages), By Region, And Segment Forecasts, 2024-2030. Grand View Research, Inc.

Hongkailers, S., Phumpradit, S., Phanpa, C., Pattiya, A., Ngamcharussrivichai, C., Yokoi, T., & Hinchiranan, N. (2024). Bio-phenols production via hydrodeoxygenation of lignin-derived guaiacol and bio-oil over high water-tolerant NiMo/Al2O3-ZrO2 catalysts. Cleaner Engineering and Technology, 23, 100858.

IEA. (2007). IEA Energy Technology Essentials: Biomass for Power Generation and CHP. International Energy Agency.

IEA. (2023). Renewables 2023: Analysis and forecast to 2028. International Energy Agency.

Intongkaew, W. & Junchang, L. (2017). Development of Economic Forest Plantation Management in Thailand. International Journal of Sciences, 6(10), 52-62.

IPCC. (2023). Climate Change 2023: Synthesis Report. Contribution of Working Groups I, II and III to the Sixth Assessment Report of the Intergovernmental Panel on Climate Change.

Jindapon, W., Ruengyoo, S., Kuchonthara, P., Ngamcharussrivichai, C., & Vitidsant, T. (2020). Continuous production of fatty acid methyl esters and high-purity glycerol over a dolomite-derived extrudate catalyst in a countercurrent-flow trickle-bed reactor. Renewable Energy, 157, 626–636.

Kaparaju, P., Serrano, M., Thomsen, A.B., Kongjan, P., & Angelidaki, I. (2009). Bioethanol, biohydrogen and biogas production from wheat straw in a biorefinery concept. Bioresource Technology, 100, 2562–2568.

Manthanker, A., Das, S., Pudasainee, D., Khan, M., Kumar, A., & Gupta, R. (2021). A review of hydrothermal liquefaction of biomass for biofuels production with a special focus on the effect of process parameters, co-solvents, and extraction solvents. Energies, 14, 4916.

Manufacturing Expo. (2025). Thailand moves toward sustainable economy as a global leader of "Bioplastics" production. Manufacturing Expo Blog. Retrieved from https://www. manufacturing-expo.com/en-gb/blog/thailand-moves-toward-sustainable-economy-as-a-global-leader-of-bioplastics-production0.html

Niju, S., Nishanthini, T., & Balajii, M. (2020). Alkaline hydrogen peroxide-pretreated sugarcane tops for bioethanol production – a process optimization study. Biomass Conversion and Biorefinery, 10, 149–165.

ODA Project Website. (2022). The Project for Comprehensive Conversion of Biomass and Waste to Super Clean Fuels by New Solid Catalysts. Japan Cooperation Agency. Retrieved from https://www.jica.go.jp/oda/project/1601780/index.html?wovn=en

Osman, A.I., Mehta, N., Elgarahy, A.M., Al-Hinai, A., Al-Muhtaseb, A.H., & Rooney, D.W. (2021). Conversion of biomass to biofuels and life cycle assessment: a review. Environmental Chemistry Letters, 19, 4075–4118.

Papong, S., Rewlay-ngoen, C., Itsubo, N., & Malakul, P. (2021). Environmental life cycle assessment and social impacts of bioethanol production in Thailand. Journal of Cleaner Production, 157, 254-266.

Pattanapongchai, A., & Limmeechokchai, B. (2022). Energy and carbon dioxide intensity of Thailand's steel and sugar industries: Analysis and policy implications. Energy Sources, Part B: Economics, Planning, and Policy, 17(1), 34-46.

Pattiya, A. (2020). Biomass Power Plants in Thailand: Current Status and Challenges. Journal of Sustainable Energy & Environment, 11, 37-45.

Prasertsan, S., & Sajjakulnukit, B. (2006). Biomass and biogas energy in Thailand: Potential, opportunity and barriers. Renewable Energy, 31(5), 599-610.

Sikarwar, V.S., Zhao, M., Clough, P., Yao, J., Zhong, X., Memon, M.Z., Shah, N., Anthony, E.J., & Fennell, P.S. (2016). An overview of advances in biomass gasification. Energy & Environmental Science, 9(10), 2939-2977.

Silalertruksa, T., & Gheewala, S. H. (2019). Land-water-energy nexus of sugarcane production in Thailand. Journal of Cleaner Production, 182, 521-528.

Tekin, K., Karagöz, S., & Bektaş, S. (2014). A review of hydrothermal biomass processing. Renewable and Sustainable Energy Reviews, 40, 673-687.

Thai Examiner. (2019). Thailand’s high tech eastern corridor faces a shortage of skilled technology workers in the next five years. Retrieved from https://www.thaiexaminer .com/thai-news-foreigners/2019/05/21/thailand-eastern-economic-corridor-thai-skilled-workers-work-education/

The Nation Thailand. (2025). Thailand's carbon credit market hits new highs in Q1 of fiscal 2025. Retrieved from https://www.nationthailand.com/sustaination/40045871

USDA. (2023). Thailand Biofuels Annual 2023. USDA Foreign Agricultural Service, Global Agricultural Information Network.


บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 2686-9248 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์