บทความ: กรอบวิเคราะห์ความยั่งยืนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

บทคัดย่อ

" เพื่อปรับอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเดินทางและการท่องเที่ยวของไทยให้สูงขึ้น โดยเฉพาะความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่มาของการให้บริการระบบนิเวศ บทความนี้จึงนำเสนอกรอบวิเคราะห์ความยั่งยืนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) โดยนำแนวคิดห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) บูรณาการเข้ากับแนวคิด DPSIR: พลังขับเคลื่อน (D: Drivers หรือ Driving Forces) แรงกดดัน (P: Pressures) สภาวะ (S: State) ผลกระทบ (I: Impact) ตอบโจทย์ (R: Responses) เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการปัจจัยด้านอุปสงค์และปัจจัยด้านอุปทานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในแต่ละพื้นที่ให้สอดรับกัน "


การอ้างอิง: ภิษฐ์วลัญต์ กรพิพัฒน์. (2562). กรอบวิเคราะห์ความยั่งยืนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 23 (ฉบับที่ 1).


บทความ: กรอบวิเคราะห์ความยั่งยืนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ภิษฐ์วลัญต์ กรพิพัฒน์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยศิลปากร


บทนำ
การเดินทางและการท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนหนึ่งของภาคเศรษฐกิจที่ทุกประเทศทั่วโลกผลักดันและส่งเสริมเพื่อสร้างรายได้และการจ้างงาน ในปี ค.ศ. 2017 ประเทศไทยมีรายได้จากการเดินทางและการท่องเที่ยว 36.4 พันล้าน US$ สูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก และมีสัดส่วนใน GDP ร้อยละ 9.3  สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก [รองจากมอลตา (ร้อยละ 15.1) และโครเอเชีย (ร้อยละ 10.1)] และมีการจ้างงานมากกว่า 2.4 ล้านคน (World Travel & Tourism Council (WTTC), 2018)

เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum (WEF), 2017) ได้จัดทำดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันการเดินทางและการท่องเที่ยว (Travel & Tourism Competitiveness Index: TTCI) ของ 136 ประเทศทั่วโลก โดยพิจารณาจากกลุ่มปัจจัยและนโยบายที่จะพัฒนาภาคการเดินทางและการท่องเที่ยวไปสู่ความยั่งยืน พบว่า TTCI ของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 34 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าหลายประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น (อันดับที่ 4) ฮ่องกง (อันดับที่ 11) สิงคโปร์ (อันดับที่ 13 ) จีน (อันดับที่ 15) เกาหลีใต้ (อันดับที่ 19) และมาเลเซีย (อันดับที่ 26) 

ดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันการเดินทางและการท่องเที่ยว วัดจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ (1) สภาพแวดล้อมสนับสนุน (2) นโยบายเดินทาง-ท่องเที่ยวและเงื่อนไขสนับสนุน (3) โครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพ  และ (4) ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม  ซึ่งแต่ละปัจจัยมีตัวชี้วัด ดังปรากฏในรูปที่ 1


รูปที่ 1: ดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเดินทางและการท่องเที่ยวของไทย
ที่มา : World Economic Forum (2017) 


จาก TTCI ดัชนีกลุ่มนโยบายเดินทางท่องเที่ยวและเงื่อนไขสนับสนุนของประเทศไทย พบว่า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอยู่อันดับที่ 122 ถือว่าเป็นอันดับท้าย ๆ ของการจัดอันดับของสมาชิกทั่วโลก โดยบริบทความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย ความเข้มงวดเกี่ยวกับกฎระเบียบสิ่งแวดล้อม การบังคับใช้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนของการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การให้สัตยาบันสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อม การตัดไม้ทำลายป่า ภาวะขาดแคลนน้ำ การคุกคามสายพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความเข้มข้นของฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ (Particulate Matter) และการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นปัญหาการบริหารจัดการปัจจัยด้านอุปทานของแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งว่ามีขีดจำกัดของความสามารถในการรองรับ (Carrying Capacity) ทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ เศรษฐกิจ-สังคมในระดับที่แตกต่างกัน

แต่หากย้อนกลับมาพิจารณาด้านอุปสงค์การท่องเที่ยว นโยบายรัฐบาลยังคงมุ่งเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยยังให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาด้านอุปทานไม่มากเท่าที่ควร จึงส่งผลให้สภาพปัญหาข้างต้นยังคงอยู่และถือว่าเป็นการบั่นทอนความยั่งยืนการท่องเที่ยวของประเทศไทย

ดังนั้น เพื่อปรับอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเดินทางและการท่องเที่ยวของไทยให้สูงขึ้น โดยเฉพาะความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่มาของการให้บริการระบบนิเวศ บทความนี้จึงนำเสนอกรอบวิเคราะห์ความยั่งยืนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) โดยนำแนวคิดห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) บูรณาการเข้ากับแนวคิด DPSIR: พลังขับเคลื่อน (D: Drivers หรือ Driving Forces) แรงกดดัน (P: Pressures) สภาวะ (S: State) ผลกระทบ (I: Impact) ตอบโจทย์ (R: Responses) เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการปัจจัยด้านอุปสงค์และปัจจัยด้านอุปทานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในแต่ละพื้นที่ให้สอดรับกัน โดยบทความนี้จัดลำดับการนำเสนอเป็น (1) ที่มาของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (2) ประเด็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (3) ห่วงโซ่มูลค่าการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (4) กรอบแนวคิด DPSIR (5) DPSIR กับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และ (6) แนวทางบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ความเป็นมาของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ  

การท่องเที่ยวแบบทั่วไป (Mass Tourism) ทำให้แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เคยสวยงามเสื่อมโทรมลงในทศวรรษ 1970s  ทศวรรษ 1980s เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมการท่องเที่ยวเดิมไปสู่ทางเลือกใหม่ ทางเลือกหนึ่งซึ่ง Hector Ceballos-Lascurain บัญญัติศัพท์ไว้เมื่อปี ค.ศ. 1983 คือ "การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ" (Ecotourism) และ ได้รับการยอมรับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาว่าเป็นปรัชญา แนวคิด และขบวนการทางสังคมในการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีวิวัฒนาการมากกว่า 30 ปี และประเทศต่างๆนำมากำหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในกลางทศวรรษ 1980s (Weaver, 2007)

การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมท้องถิ่น และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมเท่าเทียมกัน  การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นรูปแบบหนึ่งของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism) และการท่องเที่ยวธรรมชาติ (Nature Tourism) เป็นแบบอย่างของวิถีทางที่ยั่งยืนในการเดินทางไปยังพื้นที่ที่เป็นธรรมชาติ เป็นการท่องเที่ยวบนฐานชุมชนท้องถิ่น สร้างประโยชน์ให้แก่คนท้องถิ่น และคนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พื้นที่วัฒนธรรมและพื้นที่ธรรมชาติ (Drumm et al., 2002, 2004, Hirotsune, 2011, Ly and Bauer, 2014)

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ใช้คำว่า "การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ" อย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2541 และนิยามว่า "การเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใดแห่งหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษา ชื่นชม และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพธรรมชาติ สภาพสังคม วัฒนธรรม และชีวิตของคนในท้องถิ่น บนพื้นฐานความรู้และความรับผิดชอบต่อระบบนิเวศ" (สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, 2546)  โดยสรุปแล้ว การท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีองค์ประกอบ 5 ประการที่สัมพันธ์และเชื่อมโยงกัน ดังนี้ (1) พื้นที่เป็นแหล่งธรรมชาติและแหล่งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น (2) ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ (3) การให้การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (4) การมีส่วนร่วมและประโยชน์ที่ได้รับของชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น (5) การสร้างความพึงพอใจแก่นักท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ทั้งนี้ เมื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศขยายตัว สิ่งที่ต้องพิจารณาและให้ความสำคัญตามมา คือคุณภาพและมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ องค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะศูนย์กลางเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการพัฒนาที่ยั่งยืน (Center for Ecotourism and Sustainable Development: CESD, 2006) ได้แนะนำหน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจที่ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้เข้าใจในหลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบรับรองคุณภาพและมาตรฐาน โดยสามารถยื่นใบสมัครตามประเภทธุรกรรมกับเครือข่าย CESD ที่ตั้งอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

กรณีประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลนิธิใบไม้เขียว (Green Leaf Foundation) ที่ได้ออกเกียรติบัตรใบไม้เขียว (Green Leaf Certification) จำกัดอยู่ในแวดวงโรงแรมและรีสอร์ทที่ผ่านเกณฑ์ (สมาคมโรงแรมไทย, 2554) ซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเท่านั้น ที่เป็นดังนี้เพราะบทบาทภาครัฐและภาคธุรกิจในธุรกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมากและยังไม่ได้ตระหนักถึงมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (Phormupatham, 2013) ถึงแม้ว่ากรมการท่องเที่ยว (2557) ได้ออกคู่มือการตรวจประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวปฏิบัติแล้วก็ตาม การยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศไปสู่สากลจำเป็นต้องคลี่คลายปัญหาที่โยงใยกันในหลาย ๆ ด้าน

แหล่งทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในประเทศส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ทางราชการจึงมุ่งเน้นการอนุรักษ์มากกว่าการใช้ประโยชน์ โดยการอนุรักษ์ทรัพยากรมากเกินไปทำให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่เพียงพอกับคนท้องถิ่นและคนในพื้นที่ใกล้เขตที่ได้รับการคุ้มครอง ท้ายสุดส่งผลให้ทรัพยากรหมดไปและระบบนิเวศถูกทำลายจากความจำเป็นในการดำรงชีพของคนท้องถิ่น

ในอีกด้านหนึ่งการตักตวงผลประโยชน์หรือผลกำไรจากทรัพยากรมากเกินกว่าระบบนิเวศรองรับได้ก็จะทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุลและสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและสายพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ที่มีคุณค่าและเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว บ่อยครั้งมีการนำการท่องเที่ยวเชิงนิเวศไปใช้เป็นกลยุทธ์การตลาดโดยติดป้าย "eco" แต่ในทางปฏิบัติผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจำนวนไม่น้อยขาดจริยธรรมและความรับผิดชอบในการดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

การศึกษาวิจัยด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่า เกือบทั้งหมดเป็นการศึกษาด้านอุปสงค์มากกว่าด้านอุปทาน และเป็นการศึกษาแบบแยกส่วน (Sangpikul, 2015)  ซึ่งแท้จริงแล้วทุกๆส่วนของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นทุกๆส่วน โดยการท่องเที่ยวเชิงนิเวศนั้นอาจส่งผลกระทบต่อทางด้านสิ่งแวดล้อมรวมไปถึงทางด้านสังคมและวัฒนธรรม พอๆกับการท่องเที่ยวแบบทั่วไป (Mass Tourism) 

การทำความเข้าใจระบบที่ซับซ้อนของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศนี้สามารถอธิบายได้โดยห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) โดยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในกรณีของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Christian et al., 2011)

ห่วงโซ่มูลค่าการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain: VC) สามารถนำมาเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยระบุองค์ประกอบของชุดกิจกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางและตลอดห่วงโซ่มูลค่านี้ยังสามารถระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกิจกรรมหรือธุรกรรมต่างๆที่สัมพันธ์กันในห่วงโซ่ (Full Range of Activities) 

VC ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงและโจทย์ที่สำคัญในการจัดสรรรายได้จากนักท่องเที่ยวตลอดห่วงโซ่และการกระจายรายได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นตลอดห่วงโซ่ การจัดสรรและการกระจายรายได้ไปยังผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อทำให้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีความยั่งยืน 

โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่นและบริเวณใกล้เคียงเขตพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองอันเป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยว (ด้านอุปทาน) ควรได้รับผลประโยชน์จากทางเศรษฐกิจที่เพียงพอในการนำรายได้ไปอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล (รูปที่ 2) เนื่องจากกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นพลังขับเคลื่อน (Driving Forces: D) ที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศอย่างมีนัยสำคัญ กรอบ DPSIR จึงสามารถนำมาเป็นเครื่องมือวิเคราะห์โจทย์ความยั่งยืนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศต่อเนื่องจาก VC เพื่อเสนอทางออกหรือทางเลือกให้กับท้องถิ่นได้ในลำดับถัดไป


รูปที่ 2  ห่วงโซ่มูลค่าการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ที่มา: ปรับปรุง จาก Bilgen Mete and Elif Acuner (2014)

 

กรอบแนวคิด DPSIR

กรอบ DPSIR เป็นเครื่องมือที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมแห่งสหภาพยุโรป (European Environment Agency: EEA) ได้ทำการพัฒนาเพื่อวางระบบการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล  วิเคราะห์และจัดทำรายงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม (Kristensen, 2004, Bradley and Yee, 2015, Baldwin et al., 2016) กรอบ DPSIR อธิบายวิวัฒนาการสังคมมนุษย์ที่มีการปรับปรุงแก้ไขรูปแบบการผลิตและการบริโภคเพื่อการดำรงอยู่ (Survival) โดยมีจุดเริ่มต้นจากปัจจัยที่เป็นพลังขับเคลื่อน (Driving Forces) ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่ลงตัวและไม่ลงตัว ส่งผลให้เกิดแรงกดดัน (Pressures) ต่อดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม ผลที่ตามมาก็คือสภาวะ (State) ของสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป และเมื่อเกินกว่าที่องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศจะรองรับได้ ผลกระทบ (Impacts) ที่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ก็จะปรากฏออกมา สังคมมนุษย์จึงต้องคิดค้นเครื่องมือที่รองรับผลกระทบดังกล่าว (Response) เพื่อฟื้นฟูดุลยภาพที่สูญเสียไป

กรอบ DPSIR ถูกนำไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรและระบบนิเวศทั่วโลก เช่น ความยั่งยืนด้านการเกษตร ได้แก่ ดิน น้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรประมง ทรัพยากรทางทะเล ฯลฯ สำหรับประเทศไทย การใช้กรอบ DPSIR ยังไม่เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากต้องใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาและโจทย์ที่ทำการศึกษาในแต่ละพื้นที่ จึงเป็นการยากในการประยุกต์ใช้กรอบ DPSIR ได้อย่างสมบูรณ์โดยคนคนเดียว  รูปที่ 3 แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงที่เป็นเหตุเป็นผลของแต่ละตัวอักษรของ DPSIR โดยความหมายของแต่ละตัวอักษรสรุปไว้ในตารางที่ 1


รูปที่ 3 กรอบ DPSIR
ที่มา: ปรับปรุงจาก Kristensen (2004) 

ตารางที่ 1 ความหมายของ DPSIR

DPSIR ความหมาย
(Driving Forces: D) ความต้องการของมนุษย์ที่ต้องการพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นแต่ก็ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ รวมถึงทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยการใช้ STI (Science Technology และ Innovation) ในการยกระดับความเป็นอยู่และฐานะทางสังคม
แรงกดดัน
(Pressures: P)
กระบวนการที่เกิดต่อเนื่องจากพลังขับเคลื่อนที่กดดันต่อระดับการใช้ทรัพยากรเพื่อการผลิตและการบริโภค รวมไปถึงการปล่อยของเสียจากกระบวนการดังกล่าว ได้แก่ สารปนเปื้อน ของเสีย เสียงรบกวน ฯลฯ สู่อากาศ ดิน และน้ำ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมและระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
สภาวะ
(State: S)
ปริมาณและคุณภาพขององค์ประกอบในส่วนต่างๆของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่หลากหลาย ได้แก่ อากาศ น้ำ ดิน ฯลฯ ที่ประสานสัมพันธ์ในการทำหน้าที่ของสิ่งเหล่านี้และแสดงถึงขีดความสามารถของทรัพยากรเหล่านี้ในการรองรับ (Carrying Capacity) กิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ ซึ่งค่าหรือตัวเลขที่แสดงออกมาจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับที่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ หากค่าหรือตัวเลขนั้นสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล
ผลกระทบ
(Impact: I)
ความต่อเนื่องที่ส่งต่อมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของประเด็นปัญหาและโจทย์ที่ต้องการพิจารณาและต้องวิเคราะห์ ได้แก่ สถานภาพที่เปลี่ยนไป สุขภาพคน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ซึ่งผลกระทบอาจมีทั้งด้านบวกและด้านลบ
ตอบโจทย์
(Responses: R)
เป็นส่วนของการค้นหาหรือคิดค้นนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์ข้างต้น โดยกำหนดเป็นนโยบาย มาตรการหรือกฎกติกาทั้งในเชิงบังคับและให้สิ่งจูงใจต่อกลุ่มเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลของระบบนิเวศให้กลับคืนมาสู่ความยั่งยืนในความหมายที่ว่า "สุขภาพคนต้องเคียงคู่ไปกับสุขภาพสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ"

ที่มา: ปรับปรุงจาก Carr et al., (2007)  

DPSIR กับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

เมื่อนำกรอบ DPSIR (รูปที่ 3) มาประยุกต์ใช้กับประเด็นความยั่งยืนของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รูปที่ 3 ก็จะถูกนำมาปรับและเติมเต็มให้สอดคล้องกับบริบทและปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ดังตัวอย่างในรูปที่ 4 

ซึ่งเป็นการนำกรอบ DPSIR มาวิเคราะห์ความยั่งยืนของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยตั้งเป็นสมมติฐานทั่วไป (Generic Hypothetical Ecotourism) อย่างไรก็ตาม สถานที่หรือแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีความหลากหลายและมีลักษณะเฉพาะ เช่น อุทยานทางทะเล  หาดทราย ชายฝั่งทะเล ป่าชายเลน อุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ ภูเขา ลำธาร ความหลากหลายทางชีวภาพ โบราณสถานและโบราณวัตถุ ฯลฯ 

ดังนั้นจึงต้องระบุรายละเอียดและปัจจัยที่สำคัญของแต่ละพื้นที่ลงไปใน DPSIR จากนั้นจึงทำการเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิและปฐมภูมิทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพในพื้นที่ทั้งด้านอุปทาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการของระบบนิเวศโดยเฉพาะศักยภาพขีดความสามารถในการรองรับทางด้านกายภาพ เคมีและชีวภาพที่ส่งผลกระทบทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพต่อคนและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ และด้านอุปสงค์ ได้แก่ ความต้องการ วัตถุประสงค์ ความรู้ความเข้าใจ ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวเชิงนิเวศฯลฯ 

รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอด VC ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการโลจิสติกส์ (Logistics) ในการนำนักท่องเที่ยวมาถึงแหล่งท่องเที่ยวเป้าหมายระดับความลึกและความกว้างในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในหลายสาขาวิชาเข้ามาร่วมงานศึกษาวิจัยในประเด็นความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรและระบบนิเวศในพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีขนาดต่างๆ กัน ได้แก่ เล็ก กลาง ใหญ่ (ด้านอุปทาน) ซึ่งการศึกษาวิจัยตามแนวทางนี้ยังมีน้อยมาก

การศึกษาตามแนวทางดั้งเดิมมักมุ่งเน้นเฉพาะขีดความสามารถในการรองรับ (Carrying Capacity: CC) ซึ่งไม่ครบองค์ประกอบ DPSIR นอกจากนี้การเปิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศใหม่ในหลายพื้นที่ไม่สอดรับกับประกาศการบังคับใช้ผังเมืองรวมของแต่ละจังหวัดและไม่ได้มีการศึกษาประเด็นที่กล่าวถึงข้างต้นเพื่อเตรียมการรองรับปัญหา  ในทางตรงกันข้ามกลับมีการผลักดัน ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เพื่อขยายตัวด้านอุปสงค์ผ่านสื่อสมัยใหม่ รูปแบบใหม่ต่างๆ ดังนั้น จึงพบแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศหลายแห่งเสื่อมโทรมจากการเสียสมดุลทางธรรมชาติ เนื่องจากการดูแลที่ไม่ทั่วถึงในการบริหารจัดการด้านอุปทานให้สอดรับกับทางด้านอุปสงค์

การวางระบบเฝ้าระวังติดตาม (Monitoring) การเปลี่ยนแปลง (DPS) อย่างต่อเนื่องก่อนที่จะไปถึงผลกระทบหรือมีการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ในส่วนนี้ และเร่งดำเนินการแก้ไขก่อนที่ผลกระทบ (I) จะตามมาโดยเฉพาะทางด้านลบ จะทำให้ผลกระทบบรรเทาลงและไม่รุนแรง แน่นอนว่าผลกระทบมีทั้งด้านบวกและด้านลบ กลุ่มที่ได้รับผลด้านบวกก็จะสนับสนุน ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านลบก็จะต่อต้านและเป็นที่มาของความขัดแย้งของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสองกลุ่มซึ่งพบเห็นบ่อยครั้งในแหล่งท่องเที่ยว

การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management) ก็จะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องที่ตามมา (R) กระบวนการทั้งหมดที่นำเสนอนี้ชี้ให้เห็นว่า กรอบ DPSIR เป็นเครื่องที่นำมาใช้ในเชิงตั้งรับ (Reactive) มากกว่าเชิงรุก (Proactive) แต่หากเร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงได้ในขั้นตอนการจัดการการเปลี่ยนแปลง (DPS) ก็แสดงนัยยะการทำงานเชิงรุกได้ในลักษณะ "กันดีกว่าแก้"


รูปที่ 4 กรอบ DPSIR เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ที่มา : ประมวลและเรียบเรียงโดย ภิษฐ์วลัญต์ กรพิพัฒน์  

กรอบ VC และ DPSIR นอกจากเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ตัวชี้วัดความยั่งยืนของแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างเป็นระบบที่เชื่อมโยงครบวงจร (Loop) แล้ว ยังเป็นการกระบวนการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลรองรับการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศไปสู่สากล เมื่อมีการติดตาม (Monitoring) DPS อย่างต่อเนื่องก็จะสามารถชี้นำการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมตามเวลาและสถานที่ (Time/Space)

ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนในการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ของ DPS เพื่อบรรเทาผลกระทบ (Impact) ที่ตามมา เป็นการลดความขัดแย้งของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยเฉพาะคนในพื้นที่หรือแหล่งท่องเที่ยว ทำให้การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management) ยุ่งยากน้อยลง

และหากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยึดความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการให้บริการของระบบนิเวศเป็นที่ตั้ง การจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในลักษณะที่เป็นการปรับอุปสงค์ (กิจกรรมที่เกี่ยวกับการรับรองนักท่องเที่ยว) และอุปทาน (ขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยว (Site/Destination) ซึ่งเป็นการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ) ให้สอดรับกันโดยใช้กรอบ VC บูรณาการเข้ากับกรอบ DPSIR ก็จะได้ชุดเครื่องมือที่ช่วยนำทางไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถนำไปตอบโจทย์ (Response) การปรับกลไกทางด้านอุปสงค์และอุปทานเพื่อนำความยั่งยืนของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศกลับคืนมาหรือเข้าสู่ดุลภาพใหม่ ผ่านกระบวนการทำงานที่มีลักษณะประนีประนอมหรือฉันทามิติ (Compromising/Consensus) จากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการมีส่วนร่วม (Participation) ของชุมชนท้องถิ่นและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)

และการที่จะทำให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้ในระยะยาวจะต้องยกระดับจากการมีส่วนร่วมไปสู่การเป็นหุ้นส่วน (Partnership) โดยทดลองทำเป็นโครงการนำร่อง (Pilot Project) ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการดำเนินการ และขยายผลของโครงการนำร่องให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ก็จะมีส่วนช่วยปรับอันดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมใน TTCI ของประเทศไทยให้สูงขึ้น


เอกสารอ้างอิง
กรมการท่องเที่ยว. (2557). คู่มือการตรวจประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์.
สมาคมโรงแรมไทย. (2554). Green Leaf Foundation / มูลนิธิใบไม้เขียว. สืบค้นเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 จากเว็บไซต์  
http://www.thaihotels.org/16782254/green-leaf-foundation-มูลนิธิใบไม้เขียว.
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. (2546). การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ.สืบค้นเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 จากเว็บไซต์  http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.
php?book=27&chap=3&page=t27-3-infodetail01.html.
Baldwin, C., Rebecca L. Lewison, Scott N. Lieske, Maria Beger, Ellen Hines, Phil Dearden, Murray A. Rudd, Christian Jones, Suvaluck Satumanatpan and Chalatip Junchompoo. (2016). Using the DPSIR framework for transdisciplinary training and knowledge elicitation in the Gulf of Thailand, Ocean & Coastal Management, vol. 134, pp. 163-172.Retrieved October 6, 2018, from http://eprints.whiterose.ac.uk/110706/1/OCMA-D-16-00107R1%20%282%29.pdf.
Bradley, P. and Susan Yee. (2015). Using the DPSIR Framework to Develop a Conceptual Model :
Technical Support Document. US Environmental Protection Agency, EPA/600/R-15/154. Retrieved May 31, 2017, from https://cfpub.epa.gov/si/si_public_file_download.cfm?p_download_id=527151.
Carr E. R., Philip M. Wingard, Sara C. Yorty, Mary C. Thompson, Natalie K. Jensen and Justin Roberson. (2007) Applying DPSIR to sustainable development. International Journal of Sustainable Development & World Ecology, vol. 14, pp. 543–555. Retrieved October 16, 2018, from 
https://www.researchgate.net/publication/228618840_Applying_DPSIR_to_sustainable_development.
Center on Ecotourism and Sustainable Development (CESD). (2006). A SIMPLE USER’S GUIDE TO CERTIFICATION FOR SUSTAINABLE TOURISM AND ECOTOURISM, A HANDBOOK 1, 3rd Edition.  Retrieved January 22, 2019,  from https://www.responsibletravel.org/docs/Ecotourism_Handbook_I.pdf.
Christian, M., Karina Fernandez-Stark, Ghada Ahmed and Gary Gereffi. (2011). The Tourism Global Value Chain: Economic Upgrading and Workforce Development. Center on Globalization, Governance & Competitiveness, Duke University. Retrieved October 24, 2018, from https://gvcc.duke.edu/wp-content/uploads/2011-11-11_CGGC_Ex.Summary_Tourism-Global-Value-Chain.pdf.
Drumm, A. and Alan Moore. (2002). Ecotourism Development- A Manual for Conservation Planners and Managers Volume 1 An Introduction to Ecotourism Planning. The Nature Conservancy, Arlington, Virginia, USA. Retrieved November 2, 2018, from https://www.researchgate.net/publication/277786951_Ecotourism_
Development_-_A_Manual_for_Conservation_Planners_and_Managers_Volume_I_-_An_Introduction_to_Ecotourism_Planning.
Drumm, A., Alan Moore, Andrew Soles, Carol Patterson and John E. Terborgh. (2004). Ecotourism Development–A Manual for Conservation Planners and Managers Volume II : The Business of Ecotourism Management and Development. The Nature Conservancy, Arlington, Virginia, USA. Retrieved November 2, 2018, from https://www.researchgate.net/publication/261634491_Ecotourism_Development_A_Manual_for_Conservation_Planners_and_Managers_Volume_II
The_Business_of_Ecotourism_Development_and_Management.
Hirotsune, K. (2011). Tourism, Sustainable Tourism and Ecotourism in Developing Countries. Graduate School of International Development, Nagoya University, Paper for ANDA International Conference in Nagoya, 5 - 7 March 2011. Retrieved November 7, 2018, from  https://www2.gsid.nagoya-u.ac.jp/blog/anda/files/2011/08/4-kimura_hirotsunee38080.pdf.
Kristensen, P. (2004). The DPSIR Framework. National Environmental Research Institute, Denmark, Paper presented at the 27-29 September 2004 workshop on a comprehensive / detailed assessment of the vulnerability of water resources to environmental change in Africa using river basin approach. UNEP Headquarters, Nairobi, Kenya. Retrieved January 14, 2018, from https://wwz.ifremer.fr/dce/content/download/69291/913220 /file/DPSIR.pdf.
Ly, T. P. and T. Bauer. (2014). Ecotourism in Mainland Southeast Asia: Theory and Practice. Tourism, Leisure and Global Change, volume 1, p. 61-80. Retrieved  November 10, 2018, from https://www2.nau.edu/nabej-p/ojs/index.php/igutourism/article/view/315/173.
Mete, B. and Elif Acuner. (2014). A Value Chain Analysis of Turkish Tourism Sector. International Journal of Business and Management Studies, pp. 499-506. Retrieved January 22, 2019, from http://universitypublications.net/ijbms/0302/pdf/V4NA243.pdf.
Phormupatham, N. (2013). Issues in developing a sustainable ecotourism certification framework : The case of Chiang Mai, Thailand, University of Canberra, Australia, p. 103-117.  Retrieved July 17, 2018, from http://www.interjournal.cmru.ac.th/social/paper/009.pdf.
Sangpikul, A. (2015). An Analysis of Ecotourism Studies in Thailand. SUTHIPARITHAT, Vol.29, p. 272-290. Retrieved November 23, 2018, from http://www.dpu.ac.th/dpurc/assets/uploads/magazine/tc1qifhxwfkssk0okw.pdf.
Weaver, B., David, J. Lawton, Laura David, B. Weaver and Laura J. Lawton. (2007). Twenty years on: The state of contemporary ecotourism research, Tourism Management, School of Hotel, Restaurant and Tourism Management, University of South Carolina, Columbia. Retrieved July 17, 2018, from https://researchrepository.griffith.edu.au/ bitstream/handle/10072/26545/51660_1.pdf?sequence=1.
World Economic Forum (WEF). (2017). The Travel & Tourism Competitiveness Report 2017: Paving the Way for a More Sustainable and Inclusive Future. Retrieved October 23, 2018, from http://ev.am/sites/default/files/WEF_TTCR_2017.pdf.
World Travel & Tourism Council (WTTC). (2018). Travel & Tourism Economic Impact 2018 World. Retrieved October 23, 2018, from https://www.wttc.org/-/media/files/reports/economic-impact-research/regions-2018/world2018.pdf.
World Travel & Tourism Council (WTTC). (2018). Travel & Tourism Economic Impact 2017 THAILAND. Retrieved October 23, 2018, from https://www.wttc.org/-/media/files/reports/economic-impact-research/countries-2017/thailand2017.pdf.

 

 

 


บทความอื่นๆ

Read More

การพัฒนานวัตกรรมเพื่อการแจ้งเตือนภัยพิบัติแผ่นดินไหวของชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดเชียงราย

Read More

บทความ: แพลงก์ตอน รากฐานของสายใยอาหารในระบบนิเวศแหล่งน้ำ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์