บทความ: หน้ากากกันฝุ่น กับ PM2.5

บทคัดย่อ

ปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผันที่เกิดขึ้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยในเดือนมกราคม ปี 2562 ทำให้ค่าความเข้มข้นของมลพิษที่เกิดขึ้นในเมืองสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะค่าฝุ่น PM2.5 ที่พุ่งสูงขึ้นจนเกินค่ามาตรฐาน (เฉลี่ย 24 ชม. ไม่เกิน 50 มคก.ต่อ ลบ.ม.) ความตระหนกก่อให้เกิดประเด็นเรื่องหน้ากากกันขึ้นมา และมีผู้รู้ผู้มีประสบการณ์หลายท่านออกมาบอกถึงข้อกำจัดต่างๆ ของหน้ากาก ทำให้มีข้อมูลมากมายหลากหลาย สร้างความสับสนพอควร ในบทความนี้ก็จะขอนำเอาข้อมูลจากผู้รู้ที่ได้แชร์ไว้ มาอธิบายร่วมกับการนำงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้มาเสริมให้เป็นองค์ความรู้กันครับ


การอ้างอิง: ศีลาวุธ ดำรงศิริ. (2562). หน้ากากกันฝุ่น กับ PM2.5. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 23 (ฉบับที่ 1).


บทความ: หน้ากากกันฝุ่น กับ PM2.5

ศีลาวุธ ดำรงศิริ
สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


เมื่อต้นปี 2562 กรุงเทพมหานครเกิดปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน (temperature inversion) โดยอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศชั้นบนสูงกว่าชั้นบรรยากาศชั้นล่างที่เราอาศัยอยู่กัน ซึ่งโดยปกติแล้วอากาศร้อนจะเบากว่าอากาศเย็น เมื่ออากาศข้างล่างเกิดเย็นกว่าอากาศชั้นบน จึงทำให้อากาศจากบรรยากาศชั้นล่างไม่อาจพัดพาไปยังชั้นบนได้ ทำให้อากาศค่อนข้างนิ่ง ลมไม่พัดเป็นระยะเวลาหลายวัน ปรากฏการณ์แบบนี้เมื่อเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศมาก จะทำให้มลพิษที่ปล่อยออกมาสะสมอยู่ในอากาศจนเกิดปัญหาสุขภาพ

ปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผันที่เกิดขึ้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยในเดือนมกราคม ปี 2562 ทำให้ค่าความเข้มข้นของมลพิษที่เกิดขึ้นในเมืองสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะค่าฝุ่น PM2.5 ที่พุ่งสูงขึ้นจนเกินค่ามาตรฐาน (เฉลี่ย 24 ชม. ไม่เกิน 50 มคก.ต่อ ลบ.ม.) 


ตัวอย่างผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยกรมควบคุมมลพิษในช่วงต้นปี 2562
ที่มา: แอปพลิเคชัน Air4Thai. กรมควบคุมมลพิษ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.

PM ย่อมาจากคำว่า Particulate matter ส่วน 2.5 นั้นหมายถึง ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร (1 ไมโครเมตร = 0.001 มิลลิเมตร) รวมกันเป็น PM2.5 หมายถึง ฝุ่นที่ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร ฝุ่นพวกนี้เกือบทั้งหมดไม่ใช่ฝุ่นดิน หรือขี้เถ้า แต่เป็นฝุ่นที่เกิดจากการเผาไหม้ การก่อตัวขึ้นในภายหลังโดยปฏิกิริยาต่าง ๆ เช่น การเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง สูบบุหรี่ เผากระดาษ ปิ้งย่างอาหาร เป็นต้น ฝุ่น PM2.5 ที่เป็นปัญหาอยู่ในกรุงเทพฯ มีการศึกษาพบว่าเกิดจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก และรองลงมาเป็นการเผาในที่โล่ง ขนาดของฝุ่นนี้เล็กมากจนสามารถเข้าไปถึงถุงลมในปอดและซึมเข้าสู่ร่างกายได้ จึงอันตรายกว่าฝุ่นทั่วไปมาก

เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่อ่อนไหวต่อฝุ่น และมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหาหน้ากาก N95 มาใช้เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการสูดเอาฝุ่น PM2.5 เข้าไป ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ หน้ากาก N95 หมดไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร้านค้าต่างๆ ไม่มีการสำรองเอาไว้สำหรับเหตุการณ์แบบนี้

ความตระหนกก่อให้เกิดประเด็นเรื่องหน้ากากกันขึ้นมา และมีผู้รู้ผู้มีประสบการณ์หลายท่านออกมาบอกถึงข้อกำจัดต่างๆ ของหน้ากาก ทำให้มีข้อมูลมากมายหลากหลาย สร้างความสับสนพอควร ในบทความนี้ ก็จะขอนำเอาข้อมูลจากผู้รู้ที่ได้แชร์ไว้มากมาย มาอธิบายร่วมกับการนำงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้มาเสริมให้เป็นองค์ความรู้กันครับ


ภาพตัวอย่างหน้ากากที่ประชาชนในเมืองหาซื้อมาใช้ป้องกันตัวเอง

จากการเดินสำรวจในร้านต่างๆ พบว่า หน้ากากกันฝุ่นที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาด มีอยู่ 3 ชนิดหลักๆ คือ 1) หน้ากาก N95 2) หน้ากากอนามัย และ 3) หน้ากากผ้า

หน้ากากผ้า นั้นเป็นหน้ากากที่เป็นที่นิยมกันในผู้ทำงานที่มีฝุ่นมาเกี่ยวข้องครับ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากมีราคาถูก สามารถซักล้างทำความสะอาดได้จึงใช้ซ้ำได้หลายครั้ง หน้ากากอนามัย เป็นหน้ากากที่มีราคาถูกที่ออกแบบมาให้สามารถกรองฝุ่นได้ดีแต่ไม่ควรนำมาซักล้างและไม่สามารถใช้ซ้ำได้นานนัก ส่วน หน้ากาก N95 เป็นที่รู้กันว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดแต่มีราคาแพงและเช่นเดียวกับหน้ากากอนามัย คือไม่ควรนำมาซักล้างและไม่สามารถใช้ซ้ำได้นานนัก การที่หลายภาคส่วนรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันตัวโดยใช้หน้ากาก N95 จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยอย่างมาก (ยกตัวอย่างราคาหน้ากาก N95 ประมาณ 50 บาท ถ้าอยู่นอกอาคารทั้งวันก็ควรใช้แค่ 1 วัน ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำคือ 300 บาทต่อวัน) 

ความสามารถในการกรองโดยเส้นใยของหน้ากากต่างๆ เป็นที่ทราบกันดีว่า หน้ากาก N95 ดีที่สุด รองลงไปเป็นหน้ากากอนามัย โดย หน้ากากผ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานจริงนั้น การใส่หน้ากากให้พอดีกับใบหน้ากลับไปปัจจัยสำคัญในการกรองฝุ่นไม่ให้สูดหายใจเข้าไป โดยได้ยกผลการวิจัยมาเล่าให้ฟังพอให้เห็นภาพดังนี้

Shakya et al. (2017) ได้ทำการทดลองถึงประสิทธิภาพของหน้ากากต่างๆในการลดการสูดดมฝุ่นละอองเข้าไป โดยได้ทดลองกับ หน้ากาก N95 จำนวน 2 ยี่ห้อ หน้ากากอนามัย 1 ยี่ห้อ และ หน้ากากผ้า 3 ยี่ห้อ โดยเอาหน้ากากไปสวมลงในแบบจำลองหัวคน และเจาะท่ออากาศบริเวณปากจมูก และทดสอบโดยใช้อัตราการไหลของอากาศในช่วงการหายใจตามปกติในกิจวัตรประจำวัน (ไม่ใช่ขณะออกกำลัง) ในการทดลองใช้ฝุ่นจำลองที่ทำจาก Polyester latex ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร และยังทำการทดสอบกับไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลอีกด้วย โดยวัดประสิทธิภาพด้วยการวัดความเข้มข้นของฝุ่น ผลการทดสอบน่าสนใจมาก โดยมีประเด็นต่างๆ ได้แก่ 

ในการทดสอบกับฝุ่นจำลอง พบว่า 1) หน้ากาก N95 ไม่สามารถกรองฝุ่นได้มากกว่า 95% ตามที่ควรจะเป็น แต่มีประสิทธิภาพอยู่ในช่วง 65-95% ส่วนหน้ากากผ้ายี่ห้อหนึ่ง มีประสิทธิภาพ 80-95% ใกล้เคียงกับ N95 แต่อีกสองยี่ห้อมีประสิทธิภาพต่ำ คือ 20-85% ส่วนหน้ากากอนามัยอยู่ในช่วง 65-100% 2) โดยรวมแล้วประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นขนาดใหญ่จะดีกว่าขนาดเล็ก และ 3) อัตราการไหลของอากาศต่ำจะมีประสิทธิภาพในการกรองดีกว่า ส่วนผลการทดสอบกับไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล พบว่าผลการตรวจวัดฝุ่นขนาดต่างๆ ที่เล็ดออกออกไปค่อนข้างแกว่งไม่ค่อยเป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่โดยรวมแล้วประสิทธิภาพต่ำกว่าการทดสอบกับฝุ่นจำลองมาก แม้แต่หน้ากาก N95 โดยยี่ห้อแรกลดลงเหลือเพียง 50-80% ในขณะที่อีกยี่ห้อหนึ่งเหลือเพียง 30-50% ส่วนหน้ากากผ้ามีประสิทธิภาพราว 15-60% และเป็นที่น่าสังเกต คือ หน้ากากอนามัยกลับมีประสิทธิภาพในการกรองไอเสียสูงถึงราว 80%

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าการปิดทับขอบหน้ากากให้แนบกับแบบจำลองหัวคน จะช่วยให้มีประสิทธิภาพในการกรองเพิ่มขึ้นมาก และได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ผลการศึกษานี้น่าจะมีผลกระทบจากการรั่วซึมผ่านช่องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างหน้ากากกับแบบจำลอง ทำให้เรื่องความแนบพอดีกับใบหน้าเป็นเรื่องที่สำคัญ

Oberg และ Brosseau (2008) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยที่ใช้ในโรงพญาบาลและคลินิกทำฟัน รวม 9 แบบ ซึ่งส่วนมากได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าเส้นใยของหน้ากากสามารถกรองแบคทีเรียและฝุ่นได้มากกว่า 97% หรือมากกว่า 99% โดยในการทดสอบได้ใช้ฝุ่นจำลองขนาดเล็กกว่า 3.1 ไมโครเมตร และทดสอบความรับเข้ากับใบหน้า (Facial fit) ซึ่งผลการทดสอบกลับพบว่า ไม่มีหน้ากากแบบใดเลยที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และไม่มีแบบไหนผ่านการทดสอบความรับเข้ากับใบหน้าอีกด้วย

ผลการศึกษาข้างต้น ชี้ให้เห็นว่านอกจากประสิทธิภาพของเส้นใยกรองแล้ว
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ ความรับเข้ากับใบหน้า 
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ผู้สวมใส่ต้องใส่หน้ากากให้มิดชิดเข้ากับหน้าผู้ใส่ด้วย

โดยสรุป หน้ากาก N95 เป็นหน้ากากมาตรฐานที่ไว้กันฝุ่นขนาดเล็กโดยเฉพาะ แต่ในการสวมใส่ ก็จำเป็นต้องมีการใส่ให้พอดีกับใบหน้าที่สุดเพื่อไม่ให้มีการรั่วไหล เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ การใช้หน้ากาก N95 ก็อาจทำให้หายใจลำบากเนื่องจากใยกรองที่ละเอียด หรืออาจเลือกใส่ในตอนที่อยู่นอกอาคาร ส่วนใครที่หาหน้ากาก N95 ไม่ได้ ก็สามารถใช้หน้ากากอนามัยแทนได้ ซึ่งจากการศึกษาข้างต้นแม้ไม่ได้มีใยกรองที่ดีเท่า N95 แต่จากการทดสอบก็สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ถึงราว 80% ซึ่งก็ถือว่าพอใช้ได้สำหรับคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ ตอนนี้ โดยข้อดีคือหายใจสบายกว่า แต่ก็อย่าลืมว่าต้องใส่ให้มิดชิดพอดีกับใบหน้า ส่วนหน้ากากผ้าอาจกรองฝุ่น PM2.5 ได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ผู้เขียนเองได้ใช้หน้ากาก N95 มาหลายวันพบว่าอึดอัดมากจริงๆ สักราวครึ่งชั่วโมงก็จำเป็นต้องแง้มบ้าง เพราะเหนื่อยกับการหายใจพอควรทีเดียวครับ เลยใส่ได้แค่ตอนเดินทางมาทำงานและเดินทางกลับครับ ใช้อยู่สองสามวันก็เปลี่ยนมาใช้หน้ากากอนามัยแทน 


บรรณานุกรม
Shakya KM, Noyes A, Kallin R, Peltier RE (2017) Evaluating the efficacy of cloth facemasks in reducing particulate matter exposure. Journal of Exposure Science and Environmental Epidemiology. 27:352–357
Oberg T, Brosseau LM (2008) Surgical mask filter and fit performance. American journal of infection control. 36:276-282.
Khin C (2017) Surgical Masks Surprisingly Effective Against PM2.5. Smart Air. https://smartairfilters.com/en/blog/surgical-masks-surprisingly-effective-pm2-5/?fbclid=IwAR13eiOGCYvB4K89T30xrL_Htexy8LruD2o2nUT7llv3njgtAt3kj3GxY7Y


บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

ขอบเขตของเนื้อหา

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารที่นำเสนอบทความวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ไม่เข้มข้นมากนัก เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคคลทั่วไป รูปแบบของการเขียนบทความเป็นในลักษณะดังนี้

  1. หากเป็นการนำเสนอความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัย ควรประกอบด้วย ความสำคัญและที่มาของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการศึกษาในรูปแบบของหลักการศึกษาพอสังเขป ผลการศึกษาพร้อมการอภิปรายผลผล สรุปนำเสนอความรู้ที่ได้จากการวิจัย
  2. หากเป็นบทความเชิงวิจารณ์ บทความวิชาการ ซึ่งเรียบเรียงจากความรู้ต่าง ๆ และ ผลงานวิจัยของผู้อื่น ควรประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ การวิเคราะห์และวิจารณ์ ซึ่งมีการนำเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมถึงแนวโน้ม หรือข้อดีและข้อเสีย หรือข้อสรุปอย่างชัดเจน

2

ความยาวของบทความ

ควรมีความยาวของบทความขนาดไม่เกิน 10 หน้า (รวมรูปภาพและตาราง) โดยการใช้ font ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 Single space

3

รูปในบทความ

ให้ส่งไฟล์รูปภาพ ที่มีขนาดรูปเท่าที่ต้องการนำเสนอจริง และมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi หรือ ไฟล์ภาพต้นฉบับ

  1. หากเป็นรูปที่นำมาจากแหล่งอื่นต้องอ้างอิงแหล่งที่มา
  2. หากเป็นรูปที่ถ่ายมาเอง ให้ระบุชื่อเป็นของผู้เรียบเรียงบทความ

4

การอ้างอิงทางบรรณานุกรม

กำหนดให้ผู้เขียนบทความใช้ระบบ APA 6th ed โดยการอ้างอิงในเนื้อหาเป็นแบบ “ผู้แต่ง, ปีพิมพ์” และมีวิธีการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง ดังนี้

  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http:/.....

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารที่ดูแลโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารสารนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในบริบทของประเทศไทยออกสู่สาธารณชน ครอบคลุมในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการเมือง การจัดการของเสียและขยะ การป้องกันและควบคุมมลพิษ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นโยบายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

สิ่งแวดล้อมไทยเผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถนำเสนองานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและระดับสากล วารสารนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้

สิ่งแวดล้อมไทย หรือในชื่อเดิม วารสารสิ่งแวดล้อม เริ่มเผยแพร่ในแบบรูปเล่มฉบับแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และเปลี่ยนการเผยแพร่เป็นรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยดำเนินการเผยแพร่วารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม และได้รับการจัดอันดับในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3 โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (PRINT) : 0859-3868 และ ISSN (ONLINE) : 2586-9248

ในปี พ.ศ. 2566 วารสารสิ่งแวดล้อมได้ปรับปรุงการเผยแพร่บทความ เพื่อมุ่งสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index; TCI) ที่สูงขึ้นในระดับ Tier 2 ซึ่งประกอบด้วย การปรับความถี่ในการเผยแพร่เป็น 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับปรุงการจัดส่งบทความจากเดิมที่เป็นการจัดส่งต้นฉบับทางอีเมล์ eric@chula.ac.th เป็นจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) พร้อมเพิ่มเติมขั้นตอนการประเมินบทความในลักษณะ Double blind review จากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่านก่อนการเผยแพร่ ซึ่งการประเมินจะมีความเข้มข้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นชื่อใหม่ของวารสาร เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2567 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI ซึ่งได้กำหนดให้วารสารต้องมีเลข ISSN ที่จดทะเบียนตามชื่อภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักสากล และเพื่อให้วารสารได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

สิ่งแวดล้อมไทย ISSN : 2686-9248 (Online)
ความถี่ในการเผยแพร่ : 2 เล่ม/ปี (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
ฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี : Thai-Journal Citation Index (TCI), Tier 3

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environment) เป็นวารสารที่เผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในบริบทของประเทศไทยออกสู่สาธารณชน โดยเนื้อหาครบคลุมทั้งในมิติของนโยบาย กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การจัดการ รวมถึงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ทางด้านสิ่งแวดล้อม หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับวารสารมีดังต่อไปนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การจัดการเมือง
  • การจัดการของเสียและขยะ
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
  • นโยบายสิ่งแวดล้อม
  • สิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

เกณฑ์หลักสำหรับการตีพิมพ์ คือ คุณภาพของข้อมูลและเนื้อหาที่เหมาะกับผู้อ่านทั่วไป

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์
ภุมรินทร์ คำเดชศักดิ์

กองบรรณาธิการ

ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
บัวหลวง ฝ้ายเยื่อ
วิไลลักษณ์ นิยมมณีรัตน์
วัชราภรณ์ สุนสิน
ศีลาวุธ ดำรงศิริ
อาทิมา ดับโศก
กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย

ที่ปรึกษา

ปกฉัตร ชูติวิศุทธิ์

บทความที่ส่งมายังสิ่งแวดล้อมไทยต้องไม่เคยตีพิมพ์มาก่อนและต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในที่อื่น หลังจากส่งบทความ บทความนั้นจะถูกประเมินว่าตรงตามวัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้หรือไม่ บทความที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำทั้งหมดจะถูกประเมินโดยผู้ตรวจสอบอิสระอย่างน้อย 2 ท่านเพื่อประเมินคุณภาพของข้อมูลและการเขียนบทความ

วารสารนี้ใช้กระบวนการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดสองฝ่าย โดยบรรณาธิการเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความทั้งหมด และการตัดสินใจของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หลังจากที่ได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะถูกดำเนินการเพื่อการผลิตและการตีพิมพ์ ผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์บทความ และจะถูกขอให้โอนลิขสิทธิ์บทความให้กับผู้จัดพิมพ์ในระหว่างกระบวนการพิสูจน์อักษร นอกจากนี้ ทางวารสารจะมีการกำหนดหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) ให้กับบทความทั้งหมดที่กำหนดให้ตีพิมพ์ในฉบับ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผังด้านล่าง

สำหรับสำนักพิมพ์

สิ่งแวดล้อมไทยเป็นวารสารวิชาการที่เข้าใจถึงความสำคัญของจริยธรรมในการตีพิมพ์ทางวิชาการ ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ควรปฏิบัติตามแนวทาง “คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)” (https://publicationethics.org/) เครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ “อักขราวิสุทธิ์” จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจงหรือปฏิเสธ หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยทันที ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วารสารจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิโดยปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review) สำหรับต้นฉบับทั้งหมดที่วารสารได้รับ

สำหรับบรรณาธิการ

บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินบทความ กองบรรณาธิการประกอบด้วยหัวหน้ากองบรรณาธิการบริหาร และกองบรรณาธิการ โดยทั่วไปหัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ กองบรรณาธิการทำหน้าที่ในการเชิญผู้ประเมินเพื่อพิจารณาบทความซึ่งจะเรียกว่าบรรณาธิการประจำบทความ และอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย กองบรรณาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาการวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามหัวข้อต่าง ๆ ของวารสาร จากขอบเขตการวิจัยของต้นฉบับที่ส่งมา หัวหน้าบรรณาธิการจะมอบหมายต้นฉบับให้กับกองบรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการประจำบทความมีหน้าที่ส่งต่อต้นฉบับให้กับผู้ประเมินที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม และจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการพิจารณษบทความที่มีศักยภาพในการตีพิมพ์ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการตีพิมพ์ บรรณาธิการวารสารทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

  • บรรณาธิการจะต้องยึดถือหลักจริยธรรมในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับวารสาร
  • บรรณาธิการจะต้องเลือกผู้ประเมินที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องและไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับผู้เขียนต้นฉบับ
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ประเมินให้ผู้เขียนทราบ และในทางกลับกัน
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ จากต้นฉบับก่อนตีพิมพ์
  • ข้อมูลหรือความคิดเห็นของผู้ประเมินจะต้องเก็บเป็นความลับและไม่ควรนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

สำหรับผู้แต่ง

ผู้เขียนต้นฉบับควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อต้นฉบับ รวมถึงแนวความคิด การค้นคว้า การออกแบบการศึกษา การวิเคราะห์และให้บทสรุป และการเขียน นอกจากนี้ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

  • ต้นฉบับจะต้องไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ก่อนที่จะส่งมายังสิ่งแวดล้อมไทย ผลลัพธ์บางส่วนที่รายงานในต้นฉบับที่ส่งมาได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการ จะต้องระบุและนำเสนอเป็นหมายเหตุในต้นฉบับ
  • ผู้เขียนสามารถส่งต้นฉบับไปยังวารสารอื่นได้เฉพาะเมื่อต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยวารสารเท่านั้น
  • ผู้เขียนจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับแล้ว
  • ผู้เขียนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการลอกเลียนแบบ
  • เป็นหน้าที่ของผู้เขียนในการตอบสนองต่อความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมดของผู้วิจารณ์ หากผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นใด ๆ ของผู้วิจารณ์ ผู้เขียนควรให้คำอธิบาย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบรรณาธิการประจำบทความที่ได้รับมอบหมายหรือหัวหน้ากองบรรณาธิการ
  • สิ่งแวดล้อมไทยปฏิบัติตามนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการประพันธ์ ควรขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงผู้เขียนจากผู้เขียนทุกคน หากผู้เขียนคนใดต้องการเปลี่ยนลำดับของผู้เขียน เช่น เพิ่ม/ลบผู้เขียน หรือเปลี่ยนแปลงผู้เขียนที่เกี่ยวข้อง

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญในการตีพิมพ์ต้นฉบับ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงคุณภาพต้นฉบับและรับประกันว่าต้นฉบับมีค่าควรแก่การตีพิมพ์และจะนำไปสู่ความรู้ทางวิชาการ นอกจากนี้ ผู้ประเมินอาจมีอิทธิพลต่อต้นฉบับขั้นสุดท้ายพร้อมกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางต่อไปนี้

  • ผู้ประเมินควรปฏิเสธคำขอตรวจสอบหากงานวิจัยของต้นฉบับไม่อยู่ในความเชี่ยวชาญของตน
  • ผู้ประเมินควรแสดงความคิดเห็นตามความเชี่ยวชาญของตนเท่านั้น และไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  • ผู้ประเมินจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลหรือผลลัพธ์จากต้นฉบับก่อนที่จะตีพิมพ์
  • ผู้ประเมินควรแจ้งบรรณาธิการหากสงสัยว่าต้นฉบับมีผลงานซ้ำกับบทความที่ตีพิมพ์อื่น ๆ

บทความวิชาการทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในสิ่งแวดล้อมไทย เป็นแบบเปิดเข้าถึงทั้งหมด สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายทันที บทความจะตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสาร

ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้นผู้เขียนจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการ

บทความที่ตีพิมพ์ทั้งหมดได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้นจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการ

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บเงินใด ๆ ตั้งแต่การส่งจนถึงการตีพิมพ์ รวมถึงค่าธรรมเนียมการส่ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้านบรรณาธิการ ค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบทความ ค่าบริการหน้า และค่าสี