บทความ: ประสิทธิภาพการดำเนินงานกิจกรรมพลังงานอัจฉริยะเพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ (SECA) โรงพยาบาลท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์

บทคัดย่อ

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการหาประสิทธิภาพของกิจกรรมสถานบริการสาธารณสุขลดโลกร้อนรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยหลักการพลังงานอัจฉริยะหรือ Smart Energy and Climate Action (SECA) ของโรงพยาบาลท่าคันโท โดยใชวิธี Data Envelopment Analysis (DEA) เพื่อคำนวณค่าคะแนนประสิทธิภาพ (Efficiency Score) โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลกิจกรรม SECA ของโรงพยาบาลท่าคันโท โดยกิจกรรมที่ให้ค่าคะแนนประสิทธิภาพสูงสุด คือ บริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีวีดีโอคอล (Telemedicine) และการติดตั้งหลอดไฟ Light-Emitting Diode (LED) ประเภทหลอดขนาดยาว ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้มีปริมาณการดำเนินงานตามกิจกรรมดังกล่าวให้มากขึ้น ผลการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ ในการวัดประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถานบริการสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางการศึกษาหรือการดำเนินงานกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานได้


1. บทนำ

สืบเนื่องจากนโยบายของกระทรวงสาธารสุข ได้มีการจัดทำแผนเชิงนโยบาย Smart Energy and Climate Action หรือ SECA ที่มีวัตถุประสงค์ในการมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ โดยให้ทุกหน่วยงานในสังกัดมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพผ่านกลไก 8 ด้าน ที่ประกอบไปด้วยกิจกรรมการติดตั้ง Solar Cell กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ลดการเดินทางโดยใช้กิจกรรมการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีวีดีโอคอล (Telemedicine) กิจกรรมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในหน่วยบริการ กิจกรรมการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าในหน่วยบริการในสังกัด รวมทั้งกิจกรรมด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้อธิบายถึง การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของประชาชน รวมทั้งโรคอุบัติใหม่หรือโรคอุบัติซ้ำต่าง ๆ และภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น จากผลการศึกษาในปี พ.ศ.2565 พบว่าโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนร้อยละ 9 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ หรือ 33,766,720 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (Royal Thai government, 2023) โดยกิจกรรมที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกสูงสุดคือ การเดินทางมาโรงพยาบาลของผู้ป่วยและญาติและการใช้ไฟฟ้าในโรงพยาบาล ซึ่งข้อมูลการจัดการพลังงาน ปี 2564 พบว่า มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าถึง 1,217 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี คิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 4,730 ล้านบาทต่อปี กระทรวงสาธารณสุข จึงจัดทำแผนเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย SECA และการดำเนินการที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ โดยให้ทุกหน่วยงานในสังกัดใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการสูญเสียพลังงานอย่างไร้ประโยชน์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ ผ่านกลไกการทำงาน 8 ด้าน คือ

  1. การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน)
  3. ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า (EV)
  4. อาคารอนุรักษ์พลังงาน (Green Building)
  5. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว
  6. เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ (ลดการเดินทาง, Telemedicine)
  7. เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการมูลฝอย,น้ำเสีย
  8. กิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (Health Focus, 2023)

DEA เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมที่มีหลายตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาส่วนผสมที่ดีที่สุดของ Input ที่ทำให้แต่ละหน่วยงานสามารถใช้ทรัพยากรของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยใช้ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างกิจกรรมที่อยู่ในกระบวนการเดียวกัน วิธีการหาค่าประสิทธิภาพแบบ DEA มาจากงานวิจัยในด้านการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ (Efficiency Analysis) โดย Charnes, Cooper & Rhodes (1978) เป็นวิธีการที่มีการใช้และพัฒนาต่อมาในวงการวิจัย การกำหนด Input และ Output เริ่มต้นด้วยการกำหนดตัวแปรที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกิจกรรม การกำหนดหน่วยที่ต้องการทดสอบ (Decision Making Units – DMUs) โดยมักจะเป็นกิจกรรมที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน การคำนวณประสิทธิภาพ ในขั้นตอนนี้จะใช้ข้อมูลเปรียบเทียบระหว่าง DMUs เพื่อหาค่าประสิทธิภาพ โดยมักใช้เทคนิคการคำนวณทางคณิตศาสตร์เชิงเส้นเพื่อหา Frontiers ที่บอกถึงค่าประสิทธิภาพที่เป็นไปได้ของแต่ละ DMU การวิเคราะห์ในขั้นตอนนี้จะวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดสอบ DEA เพื่อให้เข้าใจความหมายของค่าประสิทธิภาพและการจัดอันดับของ DMUs หลังจากทำการวิเคราะห์และคำนวณค่าประสิทธิภาพแล้ว สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจหรือการวางแผนด้านการจัดการและการวิเคราะห์ผลประสิทธิภาพของกิจกรรม งานวิจัยจึงจัดทำขึ้นโดยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคำนวณหาค่าประสิทธิภาพโดยใช้เครื่องมือ DEA ของการดำเนินงาน SECA ของโรงพยาบาลท่าคันโท สำหรับใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารสามารถทราบถึงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรในองค์กรและทำให้สามารถวางแผนและปรับปรุงการดำเนินงานได้ในอนาคต

2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทความ Application of Data Envelopment Analysis in Healthcare อธิบายแนวคิดของ DEA ในการวัดประสิทธิภาพของโรงพยาบาล, คลินิก, หรือบริการสุขภาพอื่น ๆ โดยการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา, การดูแลรักษาผู้ป่วยและการจัดการทรัพยากรเพื่อวัดประสิทธิภาพของหน่วยงานด้านสุขภาพ (Ozgen, 2019) Cooper, Seiford & Tone (2000) อธิบายใน DEA as a Management Tool : A Note on its Simple Use การใช้ DEA เป็นเครื่องมือในการบริหารอย่างง่ายโดยใช้ Inputs และ Outputs บทความของ Gupta, Sharma & Verma (2018) กล่าวถึง Efficiency of Primary Health Care Centers in Rural India : A Data Envelopment Analysis Approach โดยการวัดประสิทธิภาพของศูนย์บริการดูแลสุขภาพในประเทศอินเดียบทความนี้ใช้ Inputs เช่น บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล, อุปกรณ์การแพทย์และเงินทุน และ Outputs เช่น จำนวนผู้รับบริการ, การตรวจสุขภาพประจำปีและการประเมินความสำเร็จของการรักษาโรคต่าง ๆ ผลการวิเคราะห์สถานบริการดูแลสุขภาพในเขตชนบทและมีความสำคัญในการเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของการให้บริการสุขภาพในพื้นที่ที่มีความต้องการเป็นพิเศษ สอดคล้องกับบทความ Efficiency Measurement of Public Health Centers Using Data Envelopment Analysis : A Case Study in Thailand โดย Thawornpan & Chompikul (2015) ที่วัดประสิทธิภาพของศูนย์บริการสุขภาพในประเทศไทย ผลจากการวิจัยพบว่ามีศูนย์บริการบางแห่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเพื่อให้บริการที่เหมาะสมกับความต้องการของประชากรในพื้นที่ บทความนี้มุ่งเน้นการใช้ DEA เพื่อเป็นเครื่องมือในการวัดและประเมินประสิทธิภาพของศูนย์บริการสุขภาพชุมชนในประเทศไทยและมีความสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงการบริการสุขภาพในระดับพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

บทความ Measuring the Efficiency of Health Systems in Sub-Saharan Africa: A DEA Approach โดย Kirigia & Emrouznejad (2010) เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นการวัดประสิทธิภาพของระบบสุขภาพในแอฟริกาใต้โดยใช้ Inputs เช่น งบประมาณสำหรับการดำเนินงาน, บุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ Outputs เช่น จำนวนผู้รับบริการ, การจัดการโรคและคุณภาพของการบริการ ผู้วิจัยสรุปว่าการใช้ DEA เป็นเครื่องมือ ที่มีประสิทธิภาพในการวัดและประเมินประสิทธิภาพของระบบสุขภาพและช่วยในการจัดการและปรับปรุงระบบสุขภาพในแอฟริกาใต้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบทความ Evaluating the Efficiency of Primary Health Care Centers : A DEA Approach โดย Osei, George & Dzansi (2015) ที่เป็นการศึกษาที่เน้นการประเมินประสิทธิภาพของศูนย์บริการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ผู้วิจัยใช้ DEA เพื่อวัดประสิทธิภาพของศูนย์บริการสุขภาพโดยใช้ Inputs เช่น งบประมาณสำหรับการดำเนินงาน, บุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ Outputs เช่น จำนวนผู้รับบริการ, การตรวจสุขภาพประจำปีและการรักษาโรค ผลการวิจัยบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของศูนย์บริการดูแลสุขภาพ โดยแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในประสิทธิภาพระหว่างศูนย์บริการต่าง ๆ สอดคล้องกับบทความ Efficiency Assessment of Community Health Centers : A DEA-Based Study โดย Alkhamisi & Alomari (2018) ที่เน้นการประเมินประสิทธิภาพของศูนย์บริการสุขภาพชุมชน โดยใช้ Inputs เช่น งบประมาณสำหรับการดำเนินงาน, บุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ Outputs เช่น จำนวนผู้รับบริการ, การบริการอายุรกรรมที่ครบถ้วนและการจัดกิจกรรมสุขภาพชุมชน จะช่วยให้เข้าใจถึงความสามารถในการให้บริการของศูนย์บริการแต่ละแห่งและช่วยในการปรับปรุงการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการสุขภาพชุมชน

บทความ Efficiency Measurement of Nursing Homes : A DEA Approach เป็นการศึกษาปัจจัย ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการให้บริการในบ้านพักคนชรา โดยใช้ Inputs เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน, จำนวนบุคลากรทางการพยาบาลและการดูแลผู้สูงอายุและอุปกรณ์การรักษา Outputs เช่น จำนวนผู้รับการดูแล, คุณภาพของการดูแลผู้สูงอายุและความพึงพอใจของผู้รับการบริการ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของบ้านพักคนชราและช่วยให้ผู้บริหารสามารถตระหนักถึงพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงและแนวทางการพัฒนา การบริการในบ้านพักคนชราได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ DEA เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยวิเคราะห์และประเมินประสิทธิภาพของบ้านพักคนชราอย่างมีประสิทธิภาพ (Chien & Wu, 2018) สอดคล้องกับบทความ Evaluation of Drug Rehabilitation Centers : A DEA Approach โดย Wang & Chiu (2017) เป็นการประเมินประสิทธิภาพของศูนย์ฟื้นฟูผู้ติดยาโดยใช้วิธีการ DEA เพื่อให้สามารถทราบถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการให้บริการในศูนย์ฟื้นฟูผู้ติดยา โดยใช้ Inputs เช่น งบประมาณสำหรับการดำเนินงาน, บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านยาและอุปกรณ์การรักษา Outputs เช่น จำนวนผู้รับบริการ, คุณภาพของการดูแลผู้ติดยาและอัตราการฟื้นฟู ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของศูนย์ฟื้นฟูผู้ติดยาและการใช้ DEA เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยวิเคราะห์และประเมินประสิทธิภาพของศูนย์ฟื้นฟูผู้ติดยาอย่างมีประสิทธิภาพ

3. วิธีดำเนินการวิจัย

1) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ข้อมูลข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) จากการวิจัยนี้รวบรวมมาจากฐานข้อมูลดำเนินงานกิจกรรมพลังงานอัจฉริยะเพื่อมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ (SECA) โรงพยาบาลท่าคันโท ที่ประกอบไปด้วยกิจกรรม 1) Solar Roof Top แบบ On Grid 2) Solar Light 300 วัตต์ 3) หลอดไฟขนาดยาว LED 4) หลอดไฟสั้น LED 5) หลอดไฟทรงกลม LED 6)รถเข็นอุปกรณ์ปราศจากเชื้อชนิดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 7) รถไฟฟ้า 3 ล้อ เข็นอาหาร 8) รถเข็นไฟฟ้าส่งผ้าเปื้อน แบบ 3 ล้อ 9) รถเข็นขนย้ายขยะติดเชื้อขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า 10) รถสามล้อไฟฟ้าขนอุปกรณ์การแพทย์ 11) ปลูกต้นไม้ ครั้งที่ 1 จำนวน 10 ต้น 12) ปลูกต้นไม้ ครั้งที่ 2 จำนวน 10 ต้น 13) การสร้างหอประชุมใหม่ อาคารอนุรักษ์พลังงาน 14) ห้องอาบน้ำผู้เก็บขนขยะติดเชื้อ 15) โครงการพัฒนางานสิ่งแวดล้อม 2567 16) กิจกรรม Telemedicine 17) การใช้ QR Code 18) Reuse กระดาษและกิจกรรมที่ และ 19) กิจกรรมจำหน่ายขยะ รวมทั้งหมด 19 กิจกรรม

2) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

Charnes, Cooper & Rhodes (1978) ได้พัฒนา DEA VRS (Variable Returns to Scale) เป็นวิธีการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของหน่วยงานโดยพิจารณา Inputs และ Outputs โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้:

1.png

3) ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย

3.1) 3.1 สำรวจ Input ของ SECA

กิจกรรม SECA ของโรงพยาบาลท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ มี Inputs ทั้ง 19 กิจกรรม แสดงดังตารางที่ 1

3.2) ผลลัพธ์ของ SECA

Output ของกิจกรรมการดำเนินการ SECA ตามกิจกรรมต่าง ๆ ในการศึกษานี้แบ่งออกได้เป็น Output 1 คือ การลดรายจ่ายมีหน่วยเป็นบาท และ Output 2 คือการลดการปล่อยก๊าซ Co2 มีหน่วยเป็น KgCo2e ดังตารางต่อไปนี้ ดังตารางที่ 2

2.png

3.png

4.png

4) การเก็บรวบรวมข้อมูล

มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก Secondary Data จากฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างโรงพยาบาล

4. ผลการศึกษา

จากการคำนวณโดยใช้ DEA พบว่ากิจกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ บริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีวีดีโอคอล และการติดตั้งหลอดไฟ LED ขนาดยาว มีคะแนนประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่ากันที่ 1.000000000 คะแนน รองลงมาเป็นกิจกรรมขายขยะ ที่ 0.1111028806 ถัดไปเป็น Solar Roof Top แบบ On Grid ที่ 0.0178817642 QR Code ที่ 0.0111019546 Reuse กระดาษ ที่ 0.0111019546 กิจกรรมติดตั้งหลอดไฟ LED ทรงกลม ที่ 0.0000259253 ติดตั้งหลอดไฟ LED ขนาดสั้นที่ 0.0000259247 ติดตั้ง Solar Light ขนาด 300 วัตต์ ที่ 0.0000012449 กิจกรรมการนำรถเข็นไฟฟ้าอุปกรณ์ปราศจากเชื้อชนิดขับเคลื่อน รถไฟฟ้า 3 ล้อ รถเข็นอาหาร รถเข็นไฟฟ้าส่งผ้าเปื้อน แบบ 3 ล้อ รถเข็นขนย้ายขยะติดเชื้อขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้าขนอุปกรณ์การแพทย์ คะแนนประสิทธิภาพเท่ากันที่ 0.0000000811 การสร้างหอประชุมใหม่ที่ 0.0000000617 กิจกรรมตามโครงการพัฒนางานสิ่งแวดล้อม 2567 ที่ 0.0000000038 และกิจกรรมปลูกต้นไม้ ครั้งที่ 1 จำนวน 10 ต้น กิจกรรมปลูกต้นไม้ ครั้งที่ 2 จำนวน 10 ต้น รวมทั้งห้องอาบน้ำผู้เก็บขนขยะติดเชื้อ ให้ค่าคะแนนที่ไม่มีประสิทธิภาพ

5. สรุปและอภิปรายผล

งานวิจัยฉบับนี้จัดทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมตามการดำเนินงานของ SECA โดยใช้เครื่องมือ DEA เพื่อคำนวณหาค่าประสิทธิภาพของโรงพยาบาลท่าคันโท โดยแยกออกได้ดังต่อไปนี้ พบว่ากิจกรรมที่ให้ค่าคะแนนประสิทธิภาพสูงสุด คือ การติดตั้งหลอดไฟขนาดยาว LED และกิจกรรมบริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีวีดีโอคอล ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้คะแนนประสิทธิภาพได้สูงสุดเนื่องจากปริมาณ Input ที่ใช้เมื่อเทียบกับ Output ที่ได้มาให้ประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับกิจกรรมขายขยะ ให้ประสิทธิภาพรองลงมาเพราะไม่มีต้นทุนในการจัดการแต่พบว่าสามารถสร้างรายได้ให้กับชมรมของโรงพยาบาลในจำนวนที่เหมาะสม สำหรับกิจกรม Solar Roof Top ให้ค่าประสิทธิภาพถัดลงมาแม้จะให้ Output ที่ดีแต่ก็มี Input ที่สูงในระดับหนึ่ง กิจกรรมการใช้ QR Code ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแต่สามารถลดต้นทุนในการใช้กระดาษและเชื้อเพลิงและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ระดับหนึ่งจึงให้ประสิทธิภาพเป็นลำดับถัดมากิจกรรมการนำกระดาษกลับมาใช้ใหม่ สามารถลดต้นทุนการซื้อกระดาษได้รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณที่ใกล้เคียงกันกับการใช้ QR Code กิจกรรมการเปลี่ยนหลอดไฟในโรงพยาบาลมาใช้หลอด LED แบบทรงกลมและหลอด LED แบบสั้น ให้ค่าประสิทธิภาพถัดลงมา ตามมาด้วยกิจกรรมติดตั้ง Solar Light กิจกรรมรถเข็นอุปกรณ์ปราศจากเชื้อชนิดขับเคลื่อน รถไฟฟ้า 3 ล้อเข็นอาหาร รถไฟฟ้าส่งผ้าเปื้อนแบบ 3 ล้อ กิจกรรมการใช้รถเข็นขนย้ายขยะติดเชื้อขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้าขนอุปกรณ์การแพทย์ ต่อมาเป็นกิจกรรมการสร้างหอประชุมซึ่งมีการใช้ Input ที่สูง แต่ให้ Output ไม่มากนัก กิจกรรมตามโครงการพัฒนางานอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี 2567 อาจจะไม่ได้ส่งผลให้มีการลดต้นทุนแต่เป็นการสนับสนุนให้มีการดำเนินกิจกรรม SECA โดยอ้อมของโรงพยาบาล กิจกรรมการปลูกต้นไม้ ทั้ง 2 ครั้งของโรงพยาบาลท่าคันโทอาจจะยังไม่สามารถส่งผลให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทันทีเนื่องจากต้นไม้ยังมีขนาดเล็กแต่ถ้าหากต้นไม้มีขนาดที่ใหญ่โตมากขึ้นตามอายุจะส่งผลให้เกิดการดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ กิจกรรมการสร้างห้องอาบน้ำสำหรับผู้เก็บขนขยะติดเชื้ออาจจะไม่ได้ส่งผลให้เกิดกาลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยทันทีแต่หากเจ้าหน้าที่มีสุขภาพดีแข็งแรงก็อาจส่งผลต่อการดำเนินการตาม SECA ที่เข้มแข็งต่อเนื่องยาวนานต่อไป โดยภาพรวมแล้วควรส่งเสริมให้โรงพยาบาลทำกิจกรรม SECA โดยกิจกรรมที่ให้คะแนนประสิทธิภาพสูงสุด คือ กิจกรรมบริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีวีดีโอคอล และกิจกรรมการติดตั้งหลอดไฟ LED ขนาดยาว เนื่องจากมีการประหยัดต้นทุนในการดำเนินการ รวมทั้งยังให้ผลลัพธ์จากการดำเนินงานที่สูง จึงควรส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมในลักษณะนี้ให้มากขึ้นในโรงพยาบาล

กิตติกรรมประกาศ

งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จไปได้ด้วยการให้ความช่วยเหลือแนะนำของ คณะผู้บริหารของโรงพยาบาลท่าคันโทผู้เขียนจึงขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ ขอน้อมรำลึกถึงอำนาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณบิดามารดา ครอบครัวญาติพี่น้องที่เป็นขวัญและกำลังใจในการทำวิจัยสำเร็จได้ด้วยดี

เอกสารอ้างอิง

Charnes, A., Cooper, W. W., & Rhodes, E. (1978). Measuring the efficiency of decision making units. European Journal of Operational Research, 2(6), 429-444.

Cooper, W. W., Seiford, L. M., & Tone, K. (2000). DEA as a management tool: A note on its simple use. Management Science, 46(4), 547-560.

Gupta, R., Sharma, S., & Verma, M. (2018). Efficiency of primary health care centers in rural India: A data envelopment analysis approach. Indian Journal of Public Health Research & Development, 9(12), 391-396.

Health Focus. (2023, November 17). สุขภาพจิต พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิดในช่วงโควิด 19 [บทความเว็บไซต์]. Retrieved from https://www.hfocus.org/content/2023/11/28837

Kirigia, J. M., & Emrouznejad, A. (2010). Measuring the efficiency of health systems in sub-Saharan Africa: A DEA approach. International Journal of Health Planning and Management, 25(3), 227-245.

Osei, D., George, M., & Dzansi, D. (2015). Evaluating the efficiency of primary health care centers: A DEA approach. Journal of Health Research, 29(6), 401-410.

Ozgen, H. (2009). Application of data envelopment analysis in healthcare. Journal of Yeditepe University, Faculty of Economics and Administrative Sciences, 5(1), 165-182.

Thawornpan, P., & Chompikul, J. (2015). Efficiency measurement of public health centers using data envelopment analysis: A case study in Thailand. Journal of Health Research, 29(3), 169-176.

Wang, Y., & Chiu, C. (2017). Evaluation of drug rehabilitation centers: A DEA approach. International Journal of Environmental Research and Public Health, 14(11), 1339.

Zhu, J., & Rhodes, E. (2001). Data envelopment analysis: Theory, methodology, and applications. Springer.

สำนักนายกรัฐมนตรี. (2566). หน่วยงานในสังกัดร่วมลดภาวะโลกร้อน. สำนักนายกรัฐมนตรี. Retrieved from https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/74196


บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์