บทคัดย่อ
บทความว่าด้วยเรื่องของเฮมพ์ ตั้งแต่ข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ขั้นตอนกระบวนการขออนุญาตของผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อการผลิตสำหรับการทำวิจัย รวมถึงสถานที่ที่มีการดำเนินการปลูกเฮมพ์ในปัจจุบัน การจำแนกเฮมพ์ออกจากกัญชา และการนำเฮมพ์ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
การอ้างอิง: มนทิรา สุขเจริญ และ พันธวัศ สัมพันธ์พานิช. (2562). จุดเริ่มต้นว่าด้วยเรื่องของ “เฮมพ์” หรือ “กัญชง” ที่ไม่ใช่ “กัญชา”. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 23 (ฉบับที่ 3).
บทความ: จุดเริ่มต้นว่าด้วยเรื่องของ “เฮมพ์” หรือ “กัญชง” ที่ไม่ใช่ “กัญชา”
มนทิรา สุขเจริญ และ พันธวัศ สัมพันธ์พานิช
หน่วยปฏิบัติการวิจัย “การจัดการเหมืองสีเขียว”
สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เริ่มด้วยเรื่องของ “เฮมพ์”
จากสถานการณ์ในเรื่องของตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพืชที่จัดเป็นประเภทยาเสพติด ที่ประชาชนนั้นไม่สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างเสรี หากมีการผลิตหรือปลูกโดยไม่ได้รับการขออนุญาตแล้ว จะถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ต้องได้รับการลงโทษถึงการกระทำดังกล่าวตามกฎหมาย จึงได้ถูกยกขึ้นเป็นประเด็นร้อนที่มีการกล่าวถึงกันมากในภาพข่าวทางโทรทัศน์ และสื่อในสังคมโซเชียลในหลากหลายประเด็น ดังนั้นเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นกระบวนการปรับเปลี่ยนในหลาย ๆ มิติ และนำมาซึ่งการนำพืชที่ถูกระบุว่าเป็นประเภทยาเสพติดนั้นมาประยุกต์ และใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน ไม่เฉพาะวงการแพทย์เท่านั้น ดังนั้นจุดเริ่มต้นจึงเป็นการนำเสนอข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ว่าด้วยเรื่องของเฮมพ์ หรือกัญชง ขั้นตอนกระบวนการขออนุญาตของผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อการผลิตสำหรับการทำวิจัย และอื่น ๆ
โดยทั่วไปประชาชนส่วนมากจะรู้จักพืชที่เรียกว่า “กัญชา” หรือมารีฮวนนา (Marijuana) ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis indica Lam. ในขณะที่มีพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกัญชา นั่นคือ “กัญชง” หรือที่บางคนมีความเข้าใจว่า กัญชง คือ น้องของกัญชา ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของพืชทั้งสองชนิดนี้ ในทางกฎหมายจึงได้มีการระบุหรือให้เรียก “กัญชง” ว่า “เฮมพ์ (Hemp)” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ปี พ.ศ. 2522
กัญชาและเฮมพ์เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Cannabaceae และเป็นพืชดั้งเดิมที่มีการปลูกเพื่อใช้เส้นใยมานับพันปีในเอเชียและตะวันออกกลาง และสันนิษฐานว่า มีการกระจายพันธุ์อยู่ทางตอนกลางของทวีป ได้แก่ พื้นที่ทางตอนใต้ของแคว้นไซบีเรีย ประเทศเปอร์เซีย ทางตอนเหนือของแคว้นแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย และบริเวณเชิงเขาหิมาลัย ประเทศจีน ก่อนจะกระจายไปในที่ต่าง ๆ (ประภัสสร ทิพย์รัตน์, 2562) พืชกลุ่ม Cannabis มีการจัดจำแนกขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1753 โดย Carl Linnaeus นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนที่คิดค้นการจำแนกชื่อของสิ่งมีชีวิตด้วยระบบที่ทันสมัย และสามารถแบ่งพืชกลุ่ม Cannabis ออกเป็นสามสายพันธุ์ ได้แก่ 1) สายพันธุ์ที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากเส้นใย โดยมีลำต้นที่ยาว และแตกกิ่งก้านเล็กน้อย 2) สายพันธุ์ที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ดที่สามารถรับประทานได้ทั้งดิบหรือสกัดน้ำมันมาใช้ และ 3) สายพันธุ์ที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคหรือเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ (Wikipedia, 2019; Cannabis.info, 2019)
ปัจจุบันประเทศไทยจัด “เฮมพ์และกัญชา” เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 การผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เนื่องจากทั้ง “กัญชาและเฮมพ์” มีต้นกำเนิดมาจากพืชชนิดเดียวกัน
ในหลายประเทศสามารถปลูก “เฮมพ์” ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากแต่ต้องควบคุมให้มีสารเสพติด คือ สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) อยู่ในปริมาณที่กำหนด เช่น ในประเทศแคนาดากำหนดให้มีสารเสพติด THC ในเฮมพ์ไม่เกินร้อยละ 0.3 ส่วนประเทศทางยุโรปกำหนดให้มีไม่เกินร้อยละ 0.2 ประเทศออสเตรเลียกำหนดให้ไม่เกินร้อยละ 0.5-1 สำหรับประเทศไทยกำหนดให้ไม่เกินร้อยละ 1.0 หากในอนาคตมีการส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถปลูกเฮมพ์ได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้วนั้น การจำแนก “เฮมพ์” ออกจาก “กัญชา” จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
จากอดีตสู่ปัจจุบัน
ที่ผ่านมาได้มีการรายงานและยืนยันถึงประโยชน์ในหลากหลายด้านของเฮมพ์มากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ให้มีการขออนุญาตปลูกเฮมพ์นี้ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกเฮมพ์ และนำไปใช้ประโยชน์ด้านเส้นใยทอผ้า ทั้งในระดับครัวเรือน และอุตสาหกรรม โดยในช่วงทดลองได้จำกัดเขตทดลองปลูกใน 6 จังหวัด 15 อำเภอ ประกอบด้วย 1) จังหวัดเชียงใหม่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่วาง อำเภอแม่ริม อำเภอสะเมิง และอำเภอแม่แจ่ม 2) จังหวัดเชียงราย 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเทิง อำเภอเวียงป่าเป้า และอำเภอแม่สาย 3) จังหวัดน่าน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอนาหมื่น อำเภอสันติสุข และอำเภอสองแคว 4) จังหวัดตาก 1 อำเภอ คือ อำเภอพบพระ 5) จังหวัดเพชรบูรณ์ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหล่มเก่า และอำเภอเขาค้อ และ 6) จังหวัดแม่ฮ่องสอน 1 อำเภอ คือ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นช่วงของการทดลองปลูก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกเฮมพ์ในทุก ๆ พื้นที่ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร หากแต่จำเป็นต้องมีการยื่นคำร้องขออนุญาตปลูกเฮมพ์ในพื้นที่นั้น ๆ และผู้ที่ได้รับอนุญาตจะต้องมีแผนการผลิต แผนการจำหน่าย และการนำไปใช้ประโยชน์ตามขั้นตอนที่ได้รับอนุญาต รวมทั้งเมล็ดพันธุ์ที่จะนำมาปลูก และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ประโยชน์เฉพาะตามที่ได้รับอนุญาต ประกอบกับปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการเตรียมการส่งเสริม และยกระดับเฮมพ์ให้เป็นพืชเศรษฐกิจ ด้วยการนำเส้นใยมาใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ เช่น ผลิตเสื้อผ้า และกระเป๋า เป็นต้น ทั้งนี้ทุกขั้นตอนยังคงมีการควบคุมจากภาครัฐ รวมทั้งการตรวจวัดปริมาณสาร THC ของเฮมพ์ที่ปลูกต้องไม่เกิน ร้อยละ 1.0 ต่อน้ำหนักแห้ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเฮมพ์ไปใช้ในทางที่ผิด (สุรัติวดี ภาคอุทัย และ กนกวรรณ ศรีงาม, 2551)
ในประเทศไทย ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทางภาคเหนือมีการใช้เส้นใยจากลำต้นของต้นกัญชาเพศผู้ หรือเรียกว่า “กัญชง” กันมานาน โดยใช้เส้นใยจากลำต้นของเฮมพ์ที่ออกดอกใหม่ มีอายุระหว่าง 3-4 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่เส้นใยของเฮมพ์มีความเหนียว เบา และเป็นสีขาวเหมาะสำหรับการใช้เป็นเส้นใยทอผ้า จากการศึกษาพบว่า เส้นใยเฮมพ์เป็นเส้นใยธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง มีความยืดหยุ่น แข็งแรง และทนทาน สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์จากเส้นใยได้มากมาย เช่น ผ้า และกระดาษได้ดี ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าเส้นใยจากฝ้าย และลินิน
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณเส้นใยจากการปลูกเฮมพ์กับการปลูกฝ้าย เฮมพ์ให้ผลผลิตมากกว่าฝ้าย 2-3 เท่า เส้นใยเฮมพ์จึงเริ่มมีบทบาทสำคัญในตลาดเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันอุตสาหกรรมเส้นใยเฮมพ์ และอุตสาหกรรมอาหารจากเฮมพ์เจริญเติบโตรวดเร็วมาก และนอกเหนือจากเส้นใยแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของเฮมพ์ เช่น น้ำมันจากเมล็ดเฮมพ์ (Hemp seed oil) ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทำเป็นอาหารเสริม และเครื่องสำอาง ได้อีกด้วย (สำนักงานเกษตรอำเภอพบพระ จังหวัดตาก, 2559)
เฮมพ์ แม้ว่าเป็นพืชตระกูลเดียวกับกัญชา ซึ่งเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง แต่เฮมพ์หรือกัญชงนั้นเป็นที่ยอมรับในวงการสิ่งทอว่า เฮมพ์มีเส้นใยที่มีคุณภาพสูง และกำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชเสาวนีย์ให้พิจารณาข้อดีของเฮมพ์ ตัดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ออกไป สามารถส่งเสริมให้เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ได้ ดังนั้นมูลนิธิโครงการหลวงร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) จัดตั้งคณะทำงานวิจัยและพัฒนาการปลูก และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเฮมพ์ โดยนำร่องในพื้นที่ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ เนื่องจากชาวไทยภูเขาเผ่าม้งมีการปลูกเฮมพ์เพื่อใช้สอยในครัวเรือนกันอย่างแพร่หลายตามวิถีชีวิตดั้งเดิม
กระทั่งในปี พ.ศ. 2553 ผลการวิจัยก็สามารถได้พันธุ์เฮมพ์ท้องถิ่น และนำไปพัฒนาให้มีปริมาณสารเสพติดต่ำ เพื่อนำมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก และในปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา ได้มีการขออนุญาตกองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เพื่อปลูกเฮมพ์ตามระบบควบคุม โดยใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีสารเสพติดต่ำ และเริ่มส่งเสริมการปลูกเฮมพ์เชิงพาณิชย์ในพื้นที่ 97 ไร่ ของ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก เพื่อขายต้นเฮมพ์สดให้กับภาคเอกชน นำไปพัฒนารูปแบบสินค้าในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก
และในปี พ.ศ. 2558 ได้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อตั้งเป็น “สหกรณ์ผู้ปลูกเฮมพ์อำเภอพบพระ จังหวัดตาก” รองรับการปลูกเฮมพ์เชิงพาณิชย์ ที่มีแนวโน้มการเติบโตทางตลาดมากขึ้น โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ได้สนับสนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเส้นใยกัญชงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบันและอนาคต โดยมีแม่หม่อ แซ่หว่าง เป็นประธานสหกรณ์ผู้ปลูกเฮมพ์พบพระ จำกัด และดูแลอยู่ขณะนี้ นอกจากนี้ทางผู้ปลูกเฮมพ์อำเภอพบพระ ยังได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเฮมพ์ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ที่ผลิตจากเส้นใยเฮมพ์ 100 เปอร์เซ็น
มูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ได้เริ่มศึกษาวิจัยและพัฒนาเฮมพ์ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 โดยในช่วงแรกให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาข้อมูลพื้นฐานของเฮมพ์โดยเฉพาะการมุ่งคัดเลือกพันธุ์เฮมพ์ให้มีสาร THC หรือสารเสพติดต่ำ เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากกัญชา โดยมูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ได้ขึ้นทะเบียนสายพันธุ์เฮมพ์หรือกัญชงต่อกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554 จำนวน 4 สายพันธุ์ คือ พันธุ์อาร์พีเอฟ 1 (RPF1) พันธุ์อาร์พีเอฟ 2 (RPF2) พันธุ์อาร์พีเอฟ 3 (RPF3) และพันธุ์อาร์พีเอฟ 4 (RPF4)
ซึ่งเฮมพ์ทั้ง 4 พันธุ์ ได้รับการคัดเลือกพันธุ์ด้วยวิธีการคัดเลือกรวม (Mass selection) ระหว่างปี พ.ศ. 2551-2554 (สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน), 2562) โดยเฮมพ์ทั้ง 4 สายพันธุ์นี้ จัดเป็นสายพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนครั้งแรกของประเทศไทย และสามารถนำไปขยายเพื่อใช้ต่อยอดสำหรับการวิจัยในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งมีระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นประโยชน์ในการนำไปผลิตสำหรับการส่งเสริมแก่เกษตรกรอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป หากแต่การปลูกเฮมพ์ยังคงต้องอยู่ภายใต้ระบบควบคุม มีข้อปฏิบัติและข้อบังคับต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
การจำแนกเฮมพ์ (Hemp) และกัญชา (Marijuana)
เฮมพ์ (Hemp) หรือ “กัญชง” เป็นพืชที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกัญชามาก เนื่องจากอยู่ในวงศ์เดียวกัน ดังนั้นลักษณะภายนอกหรือสัณฐานวิทยาของพืชทั้งสองชนิด จึงมีความแตกต่างกันน้อย จนบางครั้งยากต่อการจำแนกชนิด และทำให้เกิดความสับสนได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วพืชทั้งสองชนิดมีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างกัน เช่น เฮมพ์มีลักษณะลำต้นสูงมากกว่า 2 เมตร ใบมีสีเขียวอมเหลืองรูปเรียวยาว มีการเรียงสลับของใบค่อนข้างห่างชัดเจน ทรงพุ่มเรียวเล็ก มีการแตกกิ่งก้านน้อย และไม่มียางเหนียวติดมือ เป็นต้น ในขณะที่กัญชามีลักษณะลำต้นสูงไม่เกิน 2 เมตร ใบมีสีเขียวเข้มขนาดกว้างกว่าเฮมพ์ การเรียงตัวของใบจะชิดกันหรือเรียงเวียนใกล้กัน โดยเฉพาะใบประดับช่อดอกจะเป็นกลุ่มแน่นเห็นได้อย่างชัดเจน มีการแตกกิ่งก้านมาก และมักมียางเหนียวติดมือ ดังรูปที่ 1 (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, 2561; สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, 2562; Cannabis.info, 2562)
เฮมพ์ มีลักษณะใบและลำต้นใกล้เคียงกับกัญชามาก พืชทั้งสองชนิดมีองค์ประกอบของสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ได้แก่ สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol; THC) ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้มีอาการตื่นเต้น ช่างพูด หัวเราะ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ก่อให้เกิดอาการเคลิ้มฝัน และมีฤทธิ์เสพติด และยังมีสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol; CBD) ออกฤทธิ์ยับยั้งฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย (Anxiety effect) มีลักษณะโครงสร้างทางเคมีดังรูปที่ 2 ซึ่งในกัญชามีสาร THC ประมาณร้อยละ 5 ถึง 15 และมีปริมาณ THC สูงกว่า CBD ในขณะที่เฮมพ์มีปริมาณ THC เพียงประมาณร้อยละ 0 ถึง 1.0 และมีสัดส่วนระหว่าง CBD มากกว่า THC คิดเป็น 2:1 ดังนั้นถ้าต้นที่มีสาร THC น้อยกว่าร้อยละ 0.3 ต่อน้ำหนักแห้ง จะถือว่าเป็น “เฮมพ์ (Hemp)” แต่ถ้ามีค่า THC สูงกว่านี้ถือว่าเป็น “กัญชา (Marijuana)” (พิชิต แก้วงาม, 2562) สำหรับความแตกต่างระหว่างพืชทั้งสองนั้น มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก โดยสามารถสังเกตทางพฤกษศาสตร์ในเบื้องต้นได้ดังนี้
ราก ของเฮมพ์และกัญชาเป็นระบบรากแก้ว (Tap root system) และมีรากแขนงเป็นจำนวนมาก
ลำต้น ของเฮมพ์จะมีลักษณะสูงเรียว เป็นเหลี่ยม โดยจะมีความกลมเฉพาะบริเวณโคนต้นเหนือจากพื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร ความสูงของต้นมากกว่า 2 เมตร ต่างจากกัญชาที่ลำต้นมีลักษณะกลม และมีความสูงน้อยกว่า
ใบ ของเฮมพ์มีสีเขียวอมเหลืองขนาดเรียวยาว การเรียงตัวของใบค่อนข้างห่างชัดเจน และไม่มียางเหนียวติดมือ ส่วนกัญชาใบจะมีสีเขียวเข้มขนาดกว้างหนา การเรียงตัวของใบจะชิดกัน และมักจะมียางเหนียวติดมือ
ปล้องหรือข้อ ของเฮมพ์จะยาว มีระยะห่างของใบบนลำต้นกว้าง ซึ่งทำให้ทรงของต้นเฮมพ์เป็นพุ่มโปร่ง ส่วนกัญชาปล้องหรือข้อจะสั้น ระยะห่างของใบบนลำต้นแคบทำให้ทรงของต้นเป็นพุ่มทึบ
เปลือกเส้นใย ของเฮมพ์จะละเอียด เหนียว ลอกง่าย และให้เส้นใยยาวคุณภาพสูง ส่วนกัญชาเปลือกเส้นใยจะหยาบ บาง ลอกยาก และให้เส้นใยคุณภาพต่ำ
เมล็ด ของเฮมพ์จะมีขนาดใหญ่ ผิวเมล็ดหยาบด้าน และมีลายบ้าง ส่วนเมล็ดกัญชาจะมีขนาดเล็ก ผิวมีลักษณะมันวาว
ช่อดอก ของเฮมพ์จะมียางไม่มาก และมีสาร THC ร้อยละ 0.3-7 ส่วนกัญชานั้นจะมียางที่ช่อดอกมาก และมีสาร THC สูงถึงร้อยละ 1-10 ซึ่งเมื่อนำมาจุดไฟจะมีกลิ่นหอมคล้ายหญ้าแห้งมีฤทธิ์หลอนประสาท ทั้งนี้ความแตกต่างระหว่างเฮมพ์และกัญชา สามารถสรุปได้ตามตารางที่ 1 และสามารถแสดงลักษณะได้ดังรูปที่ 3-6
รูปที่ 1 ลักษณะความแตกต่างระหว่าง “เฮมพ์” กับ “กัญชา”
ที่มา: www.cannabis.info/en/blog/difference-indica-sativa-ruderalis-hybrid-plants (2562)
รูปที่ 2 โครงสร้างทางเคมีของสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol; THC)
และสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol; CBD)
ที่มา: Rudd (2018)
ตารางที่ 1 ความแตกต่างระหว่าง เฮมพ์ (Hemp) กับ กัญชา (Marijuana)
ที่ | เฮมพ์ | กัญชา |
1 | ต้นสูงเรียว > 2 เมตร | ต้นเตี้ย ทรงพุ่มกว้าง |
2 | แตกกิ่งก้านน้อย และไปในทิศทางเดียวกัน | แตกกิ่งก้านมาก และออกกิ่งแบบสลับไปมา |
3 | ใบเรียวเรียงตัวห่างกัน และมีทรงพุ่มโปร่ง | ใบหนากว้างเรียงตัวชิดกัน และมีทรงพุ่มแน่นทึบ |
4 | ปล้องหรือข้อยาว | ปล้องหรือข้อสั้น |
5 | เปลือกหนา เหนียว และลอกง่าย | เปลือกบาง ไม่เหนียว และลอกยาก |
6 | ใบสีเขียวอมเหลือง ขอบใบย่อยในแต่ละแฉกโค้ง | ใบสีเขียวเข้ม ขอบใบย่อยในแต่ละแฉกเรียวยาว |
7 | เส้นใยยาว และมีคุณภาพสูง | เส้นใยสั้น และมีคุณภาพต่ำ |
8 | มียางที่ช่อดอกไม่มาก | มียางที่ช่อดอกมาก |
9 | ออกดอกเมื่ออายุ > 4 เดือน | ออกดอกเมื่ออายุ ประมาณ 3 เดือน |
10 | เมล็ดมีขนาดใหญ่ ผิวหยาบด้าน และมีลายบ้าง | เมล็ดมีขนาดเล็ก ผิวมันวาว และมีลายมาก |
11 | การปลูกระยะห่างระหว่างต้นและแถวแคบ เพราะต้องการเส้นใย | การปลูกระยะห่างระหว่างต้นและแถวกว้าง เพราะต้องการใบ และช่อดอก |
ที่มา: สยาม อรุณศรีมรกต (2562)
สำหรับลักษณะทางเคมีเป็นลักษณะเสริมสำคัญ สามารถใช้กำหนดความเป็นพืชเสพติดจากปริมาณสารในเฮมพ์และกัญชาได้ ซึ่งในทางกฎหมายสากล พืชที่ให้ปริมาณ THC น้อยกว่า 0.3 ไม่ถือว่าเป็นพืชเสพติด แต่สำหรับเฮมพ์ประเทศไทยนั้น จากกฎกระทรวงระบุไว้ว่า มีปริมาณ THC ไม่เกินร้อยละ 1.0 ต่อน้ำหนักแห้ง ต้องมีปริมาณ THC ต่ำกว่ามาตรฐาน เพื่อปลูกแบบอุตสาหกรรมเส้นใยได้ ดังแสดงในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ลักษณะทางเคมีของเฮมพ์ (Hemp) และกัญชา (Marijuana)
ลักษณะ (ร้อยละ) | เฮมพ์ | กัญชา |
THC (Tetrahydrocannabinol) | < 1 | 1-20 |
CBD (Cannabidiol) | ≥ 2 | < 2 |
ปริมาณเส้นใย (Fiber) สูงสุด | 35 | 15 |
ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (2562)
ประโยชน์ที่ได้จาก “เฮมพ์”
เฮมพ์เป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนตั้งแต่ราก ลำต้น ใบ ดอก และเมล็ด แต่ส่วนหลัก ๆ ของเฮมพ์ที่เรานำมาใช้ประโยชน์ ได้แก่ ลำต้น เมล็ด และดอก ซึ่งชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทางภาคเหนือของประเทศไทยมีการใช้เส้นใยที่ได้จากลำต้นของเฮมพ์กันมานานแล้ว โดยเส้นใยของเฮมพ์เหมาะสำหรับการใช้เป็นเส้นใยทอผ้า นอกเหนือจากเส้นใยแล้ว เมล็ด น้ำมันจากเมล็ดของเฮมพ์ และสารสกัดที่ได้จากดอกที่เรียกว่า สารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol; CBD) ก็สามารถำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ นำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อาหารสุขภาพ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้อีกด้วย
รูปที่ 3 ความแตกต่างระหว่างลำต้นเฮมพ์ (ซ้าย) และกัญชา (ขวา)
ที่มา: Hash Marihuana and Hemp Museum (2019)
รูปที่ 4 ความแตกต่างระหว่างใบเฮมพ์ (ซ้าย) และใบกัญชา (ขวา)
ที่มา: Eleanor Russell (2019); www.seekpng.com (2019)
รูปที่ 5 ความแตกต่างระหว่างช่อดอกเฮมพ์ (ซ้าย) และช่อดอกกัญชา (ขวา)
ที่มา: Leafly Staff (2016)
รูปที่ 6 ความแตกต่างระหว่างเมล็ดเฮมพ์ (ซ้าย) และเมล็ดกัญชา (ขวา)
ที่มา: Cannabis seeds (2019)
ในส่วนของเส้นใยเฮมพ์นั้นได้มาจากส่วนของลำต้นของเฮมพ์ที่นำมาผ่านกระบวนการลอกเปลือก (Decorticating) โดยส่วนเปลือกของลำต้นจะให้เส้นใยที่เรียกว่า Fiber bast และส่วนของแกนด้านในของลำต้นจะให้เส้นใยที่เรียกว่า Fiber hurd แสดงลักษณะเส้นใยดังรูปที่ 7 ทั้งนี้สามารถนำเส้นใยทั้งสองชนิดที่ได้จากเฮมพ์มาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังรูปที่ 8-12 ได้ดังนี้
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เส้นใยจากเฮมพ์เป็นเส้นใยธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง มีความยืดหยุ่นสูง แข็งแรง ทนทาน สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเสื้อผ้า ซึ่งแม้ว่าเส้นใยที่ได้จากเฮมพ์จะให้ผ้ามีรอยย่นหรือเกิดรอยยับได้ง่าย แต่ด้วยลักษณะของเส้นใยที่สามารถลอกออกเป็นชั้น ๆ จึงนำมาผลิตเป็นผ้าที่บางได้ตามที่ต้องการ และยังสามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าได้อีกด้วย สำหรับเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยเฮมพ์เวลาสวมใส่จะทำให้รู้สึกเย็นสบายในฤดูร้อน และอบอุ่นในฤดูหนาว โดยเส้นใยเฮมพ์มีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้นได้ดีกว่าไนลอน แข็งแรงกว่าผ้าฝ้าย และอบอุ่นกว่าลินนิน ดังรูปที่ 8
อุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ เส้นใยที่ได้จากเปลือกของต้นเฮมพ์นั้นมีความยาวตั้งแต่ 1-5 เมตร จึงเหมาะสำหรับการผลิตกระดาษ โดยในต่างประเทศจะใช้เส้นใยของเฮมพ์ผลิตกระดาษที่มีคุณภาพสูง เช่น กระดาษมวนบุหรี่ (Cigarette paper) (ดังรูปที่ 9) ธนบัตร (Bank notes) กระดาษกรอง (Technical filters) และผลิตภัณฑ์สุขอนามัย (Hygiene products) ในส่วนของเส้นใยที่ได้จากแกนเฮมพ์มีเส้นใยที่สั้นกว่าที่ใช้ผลิตกระดาษที่มีคุณภาพรองลงมา การปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในการทำกระดาษนั้นสามารถเป็นตัวอย่างด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมชัดเจน ซึ่งพืชที่ใช้ทำกระดาษคุณภาพดี อาทิ ยูคาลิปตัสและสน อายุประมาณ 6-8 ปี และปอกระสา อายุประมาณไม่น้อยกว่า 3 ปี ล้วนเป็นพืชยืนต้นที่มีการเจริญเติบโตช้ามาก กว่าจะเก็บเกี่ยวได้ต้องปลูกเป็นลักษณะสวนป่าใช้เวลานานหลายปี การปลูกก็ต้องใช้พื้นที่มาก และเมื่อตัดแล้วจะฟื้นคืนคุณภาพพื้นที่ปลูกได้ยาก ปลูกซ้ำได้ไม่กี่ครั้งเพราะจะมีเหง้าและตออยู่ ทำให้ดูเป็นลักษณะทำลายสิ่งแวดล้อม เมื่อเทียบกับเฮมพ์ที่สามารถปลูกซ้ำในพื้นที่เดิมได้โดยต่อเนื่องไม่ต้องมีการดูแลรักษา หรือจัดการพื้นที่มากนัก
อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ตั้งแต่จักรยานจนถึงเครื่องบิน โดยใช้เส้นใยของเฮมพ์เป็นส่วนประกอบของพลาสติกเพื่อเพิ่มความเหนียว ทนต่อแรงกระแทก และมีความยืดหยุ่นสูง วัสดุที่มีส่วนผสมจากเส้นใยเฮมพ์จะมีน้ำหนักเบา สามารถลดอันตรายจากอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้เส้นใยเฮมพ์ร่วมกับเส้นใยจากธรรมชาติชนิดอื่นในอุตสาหกรรมผลิตพลาสติกอื่น ๆ เช่น ฉนวนกันเสียง เป็นต้น ดังรูปที่ 10
อุตสาหกรรมผลิตวัสดุ ส่วนของแกนต้นเฮมพ์ใช้ทำวัสดุรองนอนของสัตว์ เช่น ม้า โดยมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดีประมาณ 5 เท่าของน้ำหนัก ไม่มีฝุ่น และกำจัดได้ง่าย ในต่างประเทศเป็นที่ต้องการอย่างมาก คุณสมบัติในการดูดซับนี้ยังมีการนำไปใช้เพื่อดูดซับ และกำจัดคราบน้ำมันได้อีกด้วย
อุตสาหกรรมก่อสร้าง เส้นใยของเฮมพ์สามารถใช้ทำเป็นวัสดุที่ใช้ในงานก่อสร้างได้ เช่น ฉนวนกันความร้อน (Fiberboard) และคอนกรีต (Concrete) ดังรูปที่ 11 โดยวัสดุที่ทำจากเส้นใยเฮมพ์นั้นจะมีความแข็งแรง ทนทาน และมีน้ำหนักเบา
อุตสาหกรรมผลิตพลาสติกย่อยสลายได้ สามารถนำมาผลิตเป็นพลาสติกที่ย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาไม่ถึง 1 ปี หลังจากถูกทิ้ง เป็นหนทางไปสู่ธุรกิจสีเขียวที่สามารถแก้ปัญหาขยะพลาสติกได้ในอนาคต ดังรูปที่ 12
รูปที่ 7 เส้นใยเฮมพ์ (Hemp)
ที่มา: Small (2015)
รูปที่ 8 สิ่งทอจากเส้นใยเฮมพ์
ที่มา: Pickering (2019)
รูปที่ 9 กระดาษมวนบุหรี่ (Cigarette paper)
ที่มา: Beamer Smoke (2019)
รูปที่ 10 นำเฮมพ์ไปผลิตเป็นส่วนประกอบของประตู และคอนโซลรถยนต์
ที่มา: Richard (2019)
รูปที่ 11 คอนกรีตที่ทำจากเฮมพ์
ที่มา: IsoHemp (2019)
รูปที่ 12 ขวดพลาสติกย่อยสลายได้ที่ทำจากเฮมพ์
ที่มา: American Golden Biotech (2019)
กิตติกรรมประกาศ
บทความฉบับนี้ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากโครงการวิจัย เรื่อง “การปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากเฮมพ์ที่ปลูกในดินปนเปื้อนแคดเมียม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (RDG62T0053)” โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.พันธวัศ สัมพันธ์พานิช เป็นหัวหน้าโครงการฯ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ประจำปีงบประมาณ 2562 อันเป็นประโยชน์ต่อความสำเร็จของการดำเนินงานวิจัยในครั้งนี้
เอกสารอ้างอิง
กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559.
ประภัสสร ทิพย์รัตน์. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 เชียงใหม่. “พืชกัญชา: ความรู้ทั่วไป และการตรวจสอบสารสำคัญ”. [ออนไลน์]. 2562 แหล่งที่มา: https://www.oncb.go.th/ncsmi/cannabis4/.pdf. [17 เมษายน 2562]
พิชิต แก้วงาม.“เฮมพ์” จากพืชต้องห้ามสู่พืชเศรษฐกิจ. [ออนไลน์]. 2562. แหล่งที่มา: http://www.oie.go.th/sites/default/files/attachments/article/hemp.pdf. [10 เมษายน 2562]
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน). เฮมพ์พันธุ์ใหม่ของประเทศไทย, นางสริตา ปิ่นมณี. [ออนไลน์]. 2560. แหล่งที่มา: https://www.hrdi.or.th/Articles/Detail/18 [26 เมษายน 2562]
สยาม อรุณศรีมรกต. คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. พฤกษศาสตร์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์การปลูกและการผลิตทั่วไปและแบบแม่นยำในพืชกัญชง กัญชา. [ออนไลน์]. 2562. แหล่งที่มา:https://www.nfc.or.th/wp-content/uploads/download-manager-files/seminar-62-005.pdf. [5 เมษายน 2562]
สุรัติวดี ภาคอุทัย และกนกวรรณ ศรีงาม. [ออนไลน์]. 2551. รายงานฉบับสมบูรณ์, การศึกษาวิจัย และพัฒนา Test kit เพื่อวิเคราะห์ปริมาณสาร THC ในกัญชง, ภายใต้ชุดโครงการ : โครงการพัฒนากัญชงเชิงเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการสร้างมูลค่า. สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เชียงใหม่. แหล่งที่มา: http://mis.agri.cmu.ac.th/ download/research/0-003-B-51_file.doc. [24 เมษายน 2562]
สำนักงานเกษตรอำเภอพบพระ จังหวัดตาก. “มารู้จัก “กัญชง” กันเถอะ…”. [ออนไลน์]. 2562. แหล่งที่มา: www.tak.doae.go.th. [9 เมษายน