บทความ: การตีความผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต: การเลือกใช้ถุงพลาสติกและถุงผ้า

บทคัดย่อ

บทวิเคราะห์การตีความผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต โดยใช้กรณีศึกษาจากการเปรียบเทียบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมระหว่างถุงพลาสติกและถุงผ้า โดยมุ่งเน้นสร้างความเข้าใจในพื้นฐานของการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ต่างประเภท และเกณฑ์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ถูกนำมาประเมินในกระบวนการศึกษา


การอ้างอิง: ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์. (2562). การตีความผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต: การเลือกใช้ถุงพลาสติกและถุงผ้า. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 23 (ฉบับที่ 2). 


บทความ: การตีความผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการประเมินวัฏจักรชีวิต: การเลือกใช้ถุงพลาสติกและถุงผ้า
ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์
สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ท่านผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะได้ยินสำนวนที่ว่า “Every solutions create the other problems” หรือแปลเป็นไทยว่า “ทุกๆ การแก้ไข ก่อให้เกิดอีกหลายๆ ปัญหา” คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าการกระทำ หรือกิจกรรมที่เลือกใช้ในการแก้ไขปัญหา จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา คำตอบคือ มันไม่ทางที่การกระทำสิ่งหนึ่ง จะไม่ส่งผลกระทบต่ออีกสิ่งหนึ่ง และนิยามของคำว่า “ปัญหา” ของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เราจะสามารถทำได้ คือการลดผลกระทบของปัญหาที่ตามมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่ถูกละเลยมานาน คือปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เป็นเหตุให้ปัจจุบันผลกระทบเหล่านั้นย้อนกลับมายังมนุษย์เราเอง เช่น สภาวะโลกร้อน การลดลงของชั้นโอโซน เหตุการณ์น้ำท่วม และไฟป่า เป็นต้น ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น เป็นแรงขับดันให้เกิดความตระหนักถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม คือ หลักการการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment; LCA)

โดยหลักการแล้ว การทำ LCA ก็เหมือนกับการทำบัญชีทางการการเงิน แต่แทนที่จะเป็นจำนวนเงิน รายได้ รายจ่าย ดอกเบี้ย และหนี้สิ้น จะเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบ เข้า-ออก พลังงานที่ใช้-ได้ รวมถึงของเสียที่ปล่อยออกมาด้วย เราเรียกว่า การทำบัญชีทางสิ่งแวดล้อม จากนั้นจึงเอาข้อมูลที่ได้มาประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม นี่เป็นหลักการคร่าวๆ ของการทำ LCA ครับ

แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราต้องทำละเอียดขนาดไหน? ยกตัวอย่างเช่น จะดูแค่เฉพาะผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมระหว่างกระบวนการผลิต หรือว่า จะดูไปถึงตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ (การปลูกฝ้ายดิบ และการขุดเจาะน้ำมันดิบที่ใช้ผลิตพลาสติก) แล้วเราจะต้องคำนึกถึงเวลาที่ต้องขนส่งวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภคด้วยหรือเปล่านั้น คำตอบนี้ “ไม่มีตายตัว” ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการประเมินวัฏจักรชีวิต เพื่อจะได้สามารถตีกรอบการเก็บข้อมูลทำบัญชีทางสิ่งแวดล้อม และประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด และแต่ละชนิดก็มีวิธีการคำนวณและการประเมินที่แตกต่างกัน (ขึ้นอยู่กับประเทศ และช่วงเวลาในการคำนวณ) ซึ่งด้วยขอบเขตและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันนี้เอง ทำให้ผลสรุปของการทำ LCA ได้ผลสรุปที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจเนื้อในของการทำ LCA ของแต่ละโครงการครับ เพื่อการสื่อสารที่ถูกต้อง และไม่บิดเบือน

เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจ และคิดตามได้ง่ายขึ้น ทางผู้เขียนจึงจะขออนุญาติใช้ข้อมูลจากรายงานโครงการสิ่งแวดล้อม (Environmental Project no. 1985; Feb 2018) ของกระทรวงสิ่งแวดล้อมและอาหาร ประเทศเดนมาร์ก (Ministry of Environment and Food of Denmark) จัดทำโดยองค์กรป้องกันสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency) และเพื่อความสะดวกในการสื่อสาร ทางผู้เขียนขอใช้คำว่า “รายงานประเทศเดนมาร์ก” แทนชื่อเต็มของตัวรายงาน โดยสามารถดูรายงานฉบับเต็มตามลิงค์นี้ครับ https://www2.mst.dk/udgiv/publications/2018/02/978-87-93614-73-4.pdf

รายงานประเทศเดนมาร์ก จัดทำขึ้นเพื่อที่จะเลือกวิธีการจัดการถุงหิ้วจ่ายตลาด (Grocery carrier bag) ที่ทำมาจากวัสดุหลากหลายชนิด (รูปที่ 1) รวมถึงผลกระทบของการใช้ถุงหิ้วเหล่านั้นต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งในตัวรายงานได้สรุปว่า การใช้ถุงหิ้วจ่ายตลาดชนิดถุงผ้าฝ้าย มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการใช้ถุงพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ หรือถุงเย็น ที่เราเรียกกันในท้องตลาด (Low Density Polyethylene; LDPE) โดยในการประเมินระบุไว้ว่าจะต้องใช้ถุงผ้าฝ้าย มากกว่า 20,000 ครั้ง เพื่อที่จะลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้เท่ากับการใช้ถุงเย็น 1 ครั้ง โดยคิดจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ถุงผ้าฝ้ายส่งผลกระทบสูงสุด คือ การลดลงของชั้นโอโซนในบรรยากาศ (Ozone depletion) ดังที่แสดงใน ตารางที่ 1


รูปที่ 1 ชนิดของถุงหิ้วที่ใช้ในการทำ LCA

ตารางที่ 1 จำนวนถุงที่ต้องใช้ซ้ำของถุงผิ้วแต่ละชนิด เพื่อให้ได้ค่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเทียบเท่ากับการใช้ถุง LDPE 1 ครั้ง

ผู้อ่านหลาย ๆ ท่าน ก็คงจะประหลาดใจที่ผลการประเมินออกมาเป็นดังรายงาน ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ต่างก็มีการรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกและให้ใช้ถุงผ้าแทน แล้วทำไมการใช้ถุงผ้าจึงให้ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมากกว่าการใช้ถุงพลาสติกล่ะ? เหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับการใช้แก้วกระดาษกับแก้วพลาสติกสำหรับใส่เครื่องดื่มเช่นกัน ผลลัพธ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดในการทำ LCA ของผลิตภัณฑ์ แต่แค่เป็นการมองกรอบที่ใช้ในการประเมินที่แตกต่างกันออกไป นี่คืออีกหนึ่งในเสน่ห์ของการประเมินวัฏจักรชีวิต ซึ่งในงานเขียนฉบับนี้ ผู้เขียนตั้งใจจะสอนให้ผู้อ่านได้รู้จักโลกของการประเมินวัฏจักรชีวิต 

สำหรับขั้นตอนการทำ LCA สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอนหลัก คือ 1. การตั้งวัตถุประสงค์และขอบเขต (Goal and scope); 2. การทำบัญชีสิ่งแวดล้อม (Inventory analysis); 3. การประเมินผลกระทบ (Impact analysis) และ 4. การแปรผล (Interpretation)

1. การตั้งวัตถุประสงค์และขอบเขต
การตั้งวัตถุประสงค์ของการทำ LCA เป็นขั้นตอนที่จะเป็นตัวตัดสินใจในการเก็บข้อมูลทางสิ่งแวดล้อม เพื่อประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น สำหรับการตั้งวัตถุประสงค์นั้นมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ กิจกรรม หรือบริการ (เช่น ปริมาณการปลดปล่อย CO2 ต่อการผลิตน้ำ 1 ลิตร) เพื่อระบุกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด (Hot spot) สำหรับพัฒนากิจกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเพื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ กิจกรรม หรือบริการ ของเรากับของคู่แข่ง เป็นต้น สำหรับในรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของประเทศเดนมาร์กนั้น วัตถุประสงค์ของโครงการนี้มีด้วยกัน 3 วัตถุประสงค์

      • ระบุวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการถุงหิ้วจ่ายตลาดชนิดต่างๆ
      • ระบุผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในการนำถุงหิ้วแต่ละชนิดวนกลับมาใช้ซ้ำ
      • ระบุจำนวนการนำถุงหิ้วแต่ละชนิดกลับมาใช้ซ้ำ โดยเปรียบเทียบกับถุงหิ้วชนิดที่มีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

จากวัตถุประสงค์นี้เองทำให้เราสามารถกำหนดขอบเขตของการประเมินได้ โดยขอบเขตของการประเมินมีได้หลายระดับ เช่น ตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบ การแปรรูปวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต การใช้งาน จนถึงจุดสิ้นสุดของผลิตภัณฑ์ ดังที่แสดงไว้ใน รูปที่ 2 โดยใน รายงานประเทศเดนมาร์ก ระบุว่าจะประเมินแบบเต็มรูปแบบ คือ ตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบ จนกระทั้งถึงจุดสิ้นสุดของผลิตภัณฑ์ (Cradle-to-Grave)

 


 

 รูปที่ 2 กระบวนการผลิตถุงหิ้ว การวนใช้ และการกำจัดถุงหิ้วแบบต่างๆในตัวรายงาน

ในการนำถุงหิ้วกลับมาใช้ สามารถลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการผลิตและกำจัดถุงตามจำนวนครั้งที่วนใช้ถุงหิ้วซ้ำ เพื่อหิ้วของ และเมื่อสิ้นสุดการใช้งานจะถูกส่งไปกำจัด ซึ่งกระบวนการกำจัดมีด้วยกัน 3 วิธี คือ การเผา การรีไซคลิ่ง และการใช้แทนถุงขยะและเผาทำลาย ดังที่แสดงในรูปที่ 2 โดยพลังงานที่ได้จากการเผาถุงหิ้วจะนำไปหักลบกับเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า

นอกจากการกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการประเมินแล้ว ในขั้นตอนนี้การระบุหน่วยการใช้งาน (Functional unit) ก็มีความสำคัญ เนื่องจากเราจะได้สามารถเปรียบเทียบถุงหิ้วจ่ายตลาดต่างชนิดกันได้ ใน รายงานประเทศเดนมาร์ก ได้เลือกใช้ “ความสามารถในการบรรจุสินค้า (คุณสมบัติในการใช้งานหลักของถุงหิ้ว ) เป็นเกณฑ์กำหนดจำนวนถุงหิ้วที่จะต้องใช้ในการประเมิน โดยถุงหิ้ว 1 ถุง ต้องมีปริมาตรบรรจุอย่างน้อย 22 ลิตร และต้องรับน้ำหนักได้อย่างน้อย 12 กิโลกรัม (คุณสมบัติจำเพาะที่ทำให้สามารถเปรียบเทียบถุงพลาสติกต่างชนิดกันได้)” โดนข้อมูลความจุ และความสามารถในการรับน้ำหนักของถุงในรายงานฉบับนี้ ได้จากการสำรวจของกลุ่มประชาชนในประเทศเดนมาร์กตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ ซึ่งถุงหิ้วเหล่านั้นจำเป็นที่จะต้องมีทั้งความจุและความสามารถในการรับน้ำหนักตามเกณฑ์นี้ ถ้าถุงหิ้วนั้นมีคุณสมบัติน้อยกว่าที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นด้านความจุ หรือความสามารถในการรับน้ำหนัก จะต้องเพิ่มจำนวนถุงหิ้วประเภทนั้นเป็นจำนวน 2 ถุงแทน เช่น ถุงผ้าฝ้ายอินทรีย์ มีความจุ 21 ลิตร (น้อยกว่า 22 ลิตร) และรับน้ำหนักได้ 50 กิโลกรัม ในการทำ LCA นั้น จำเป็นที่จะต้องใช้ถึงผ้าฝ้ายอินทรีย์จำนวน 2 ถุง ถึงแม้ถุงผ้าฝ้ายอินทรีย์จะรับน้ำหนักได้ถึง 50 กิโลกรัม ก็ตาม โดยคุณสมบัติจำเพาะและจำนวนถุงหิ้วแต่ละชนิดที่จะถูกประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมสามารถดูรายละเอียดได้ใน ตารางที่ 2 นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การใช้ถุงผ้าฝ้ายมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมากกว่าการใช้ถุงพลาสติกในประเทศเดนมาร์ก

ตารางที่ 2 จำนวนถุงของถุงหิ้วแต่ละชนิดที่ใช้ในการทำ LCA โดยคิดจากความจุ (22 ลิตร) และความสามารถในการรับน้ำหนัก (12 กิโลกรัม)

2. การทำบัญชีสิ่งแวดล้อม
หลังจากการตั้งวัตถุประสงค์และกรอบในการทำ LCA เสร็จแล้ว เราจะทราบว่าเราควรจะเก็บข้อมูลทางสิ่งแวดล้อมอะไรบ้าง ในการเก็บข้อมูลนั้น เพื่อความเป็นระบบนิยมแบ่งกระบวนการออกเป็นกระบวนการย่อยๆ หลาย ๆ กระบวนการ แล้วค่อยเอามาต่อกัน ดังรูปที่ 3 การได้มาของข้อมูลนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. แบบปฐมภูมิ (Primary data), 2. แบบทุติยภูมิ (Secondary data) และ 3. สมมุติฐานและข้อจำกัด (Assumption & Limitation)


รูปที่ 3 การแบ่งขั้นตอนในส่วนของการผลิตถุงหิ้ว เป็นขั้นตอนย่อยเพื่อความสะดวกในการเก็บข้อมูลและประมวลผล

ข้อมูลปฐมภูมิเป็นข้อมูลที่ได้จากการเก็บข้อมูลจริง ในพื้นที่และช่วงเวลาจริงที่จะใช้ทำ LCA เช่น ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ผลิตถุงแต่ละชนิด ที่ได้จากการสัมภาษณ์โรงงานผลิตถุงแต่ละชนิด เป็นต้น ส่วนข้อมูลทุติยภูมิ เป็นข้อมูลที่อาศัยข้อมูลจากแหล่งงานวิจัยอื่น ๆ ไม่ได้เก็บข้อมูลเอง ซึ่งในบางครั้งข้อมูลที่ได้มาจะไม่ตรงกับความต้องการในการทำ LCA เช่น ผลผลิตของฝ้ายต่อพื้นที่ เป็นต้น และสุดท้ายคือ สมมุติฐานและข้อจำกัด ข้อมูลชนิดสุดท้ายจะใช้ต่อเมื่อเราไม่สามารถหาข้อมูลนั้น ๆ ได้จากปฐมภูมิและทุติยภูมิ เช่น การเก็บถุงหิ้ว สามารถเก็บได้ 100% ซึ่งในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ สำหรับข้อจำกัดนั้น มีไว้เพื่อทำให้การทำ LCA สะดวกขึ้น เช่น จะไม่รวมผลกระทบของการผลิตเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตถุงพลาสติก รวมถึงการทำถนน เพื่อการขนส่ง เป็นต้น อันที่จริงข้อมูลที่เป็นข้อจำกัดนั้นสามารถหาได้ แต่ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ได้อาจจะมีน้อยมาก เช่น การผลิตเครื่องจักร เนื่องจากเราไม่ได้ผลิตถุงพลาสติกเพียงถุงเดียว เราผลิตเป็นล้านๆ ถุง เมื่อนำมาหารเฉลี่ยแล้ว ผลกระทบจากการผลิตเครื่องจักรอาจจะน้อยมาก และสามารถตัดทิ้งได้

ใน รายงานประเทศเดนมาร์ก ได้เลือกใช้ “ฐานข้อมูล” ชื่อว่า “Ecoinvent” เวอร์ชั่น 3.4 ในการหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของวัสดุและพลังงานที่นำมาใช้ในการผลิตถุงหิ้วแต่ละชนิด และใช้ฐานข้อมูล “EASETECH” สำหรับกระบวนการกำจัดถุงหิ้ว (การเผา และการรีไซคลิ่ง)

3. การประเมินผลกระทบ
เมื่อทำบัญชีสิ่งแวดล้อมเสร็จแล้ว เราจะมาดูกันว่าวัตถุดิบ พลังงาน และของเสีย ที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในด้านใด และในปริมาณเท่าใด เราสามารถแบ่งผลกระทบออกเป็น 2 ระดับ คือ 1. ระดับกลาง (Midpoint) 2. ระดับปลาย (Endpoint) ดังที่แสดงในรูปที่ 4

วิธีการคำนวณก็มีด้วยกันหลายวิธี และแต่ละวิธีก็จะประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าใช้วิธีการคำนวณของ IPCC จะเน้นผลกระทบเพียง 1 ชนิด คือ การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ (Climate change) แต่ถ้าเป็นของ IMPACT 2002+ จะมีด้วยกันทั้งหมด 12 ชนิด เป็นต้น โดยหลักการในการเลือกการคำนวณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมวิธีใดนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การคำนวณนั้นจะต้องมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เราสนใจ และเป็นวิธีการคำนวณที่นักวิจัยส่วนใหญ่เลือกใช้ในการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของเรา เพื่อที่จะได้สามารถเปรียบเทียบผลการประเมินได้ ซึ่งในรายงานของประเทศเดนมาร์กได้เลือก Midpoint ออกมาทั้งหมด 14 ชนิด ดังที่แสดงในรูปที่ 3 และใช้วิธีการคำนวณแบบ ILCD 2011 ที่นิยมใช้ในการทำ LCA ในประเทศโซนยุโรป แต่ในรายงานของประเทศเดนมาร์กจะไม่นำ Midpoint ดังกล่าวไปคำนวณ Endpoint


รูปที่ 4 โครงสร้างการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

4. การแปรผล
จากการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมทำให้เราทราบว่า การใช้ถุงผ้าฝ้ายส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการใช้ถุงหิ้วที่ทำมาจากวัสดุอื่น ๆ โดยรวมแล้วการใช้ถุง LDPE เป็นถุงหิ้ว ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่กับทุก Midpoint ดังที่แสดงไว้ใน ตารางที่ 3 และการเลือกใช้วิธีการกำจัดถุงหิ้วที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของถุงหิ้ว โดยถุงหิ้วพลาสติกเนื้อหนา เช่น PP, PET และ polyester สามารถนำไปรีไซคลิ่งได้ จะดีที่สุด ส่วนชนิดบาง เช่น LDPE กระดาษ และพลาสติกชีวภาพ ให้นำไปใช้แทนถุงขยะก่อนส่งเผา ผลิตเป็นพลังงาน โดยวิธีการกำจัดถุงหิ้วแต่ละชนิดสรุปอยู่ใน ตารางที่ 4

ตารางที่ 3 ชนิดของถุงหิ้วที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมต่ำที่สุดในแต่ละ Midpoint

ตารางที่ 4 วิธีการกำจัดถุงหิ้วแต่ละชนิดหลังการใช้ซ้ำที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

ในตัวรายงานไม่ได้ระบุชัดเจนว่าทำไมการใช้ถุงผ้าฝ้ายจึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อผู้เขียนเข้าไปดูในรายละเอียดแล้วพอจะสรุปประเด็นที่น่าสนใจได้ดังต่อไปนี้
• ช่วงของวัฏจักรชีวิตของถุงหิ้วที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงสุด คือ ขั้นตอนการผลิต สำหรับถุงที่ผลิตจากพลาสติก และ ขั้นตอนการเพาะปลูก สำหรับถุงกระดาษและถุงผ้าฝ้าย ทั้งนี้เนื่องจากระยะเวลาในการเพาะปลูกที่ยาวนาน

• เมื่อเปรียบเทียบระหว่างถุงกระดาษและถุงผ้าฝ้ายแล้ว ถุงผ้าฝ้ายส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าถุงกระดาษมาก ทั้งนี้เนื่องจาก “น้ำหนัก” ของถุงผ้าฝ้ายหนักกว่าถุงกระดาษมาก นั่นหมายถึงต้องมีการใช้วัตถุดิบในการผลิตเป็นปริมาณที่มากกว่า ซึ่งเหตุผลนี้ทำให้ถุงผ้าฝ้ายส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าถุงพลาสติกด้วยเช่นกัน

• เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง Midpoint ของการใช้ถุงผ้าฝ้าย จะเห็นได้ว่า Midpoint ชนิด การลดลงของชั้นโอโซน ถูกกระทบมากที่สุด ทางผู้เขียนคาดว่าเนื่องมาจากการใช้ “ยาปราบศัตรูพืช” ในระหว่างการเพาะปลูก ซึ่งสารเคมีที่ใช้ส่งผลต่อการลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศ และ Midpoint ที่กระทบมากถัดไปคือ กระบวนการเจริญเติบโตเกินขอบเขต และการใช้น้ำ “เนื่องจากการใช้ปุ๋ย และการลดน้ำ” ที่มากเกินไป และยิ่งเป็นถุงผ้าฝ้ายที่วัสดุได้มาจากการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากในตัวรายงานได้ระบุว่า ผลผลิตฝ้ายที่ได้จากการเพาะปลูกแบบอินทรีย์จะลดลง 30% เมื่อเปรียบเทียบการเพาะปลูกฝ้ายแบบทั่วไป

• จากผลกระทบของถุงผ้าฝ้ายที่ส่วนใหญ่เกิดในช่วงการผลิตฝ้าย (Hot spot) สามารถนำไปสู่วิธีการแก้ไขปัญหาได้ดังต่อไปนี้
      o การทำเกษตรแบบแม่นยำ (Precision agriculture) ที่ใช้สารเคมีและน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ 
      o การนำเสื้อผ้าเก่ามาผลิตเป็นถุงผ้าแทน 
      o การเลือกใช้เส้นใยชนิดอื่นแทนฝ้าย เช่น ป่าน และปอ เป็นต้น
      o การพัฒนากระบวนการผลิตถุงผ้าที่ใช้ปริมาณฝ้ายน้อยลง

• ผลกระทบ Midpoint ที่เลือกใช้ อาจจะไม่ได้ครอบคลุมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับถุงหิ้วพลาสติก เช่น Macroplastic และ Microplastic ซึ่งทางรายงานไม่ได้ระบุลงไป เนื่องจากสมมุติฐานที่ว่าสามารถเก็บและกำจัดถุงหิ้วได้ 100%
      o Macroplastic เป็นขยะพลาสติกขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันสร้างผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเลเป็นจำนวนมาก เช่น เต่า และวาฬ ที่เข้าใจผิดคิดว่าถุงพลาสติกเป็นอาหารของมัน
      o Microplastic เป็นขยะพลาสติกขนาดเล็ก ซึ่งสามารถหลุดรอดเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อาหารได้ จากการที่มีการค้นพบ Microplastic ในกุ้ง หอย และปลาขนาดเล็ก ซึ่งสัตว์เหล่านี้อยู่ส่วนล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร อันตรายจาก Microplastic นั้น คือ สารเคมีในตัวพลาสติกเอง และความสามารถในการดูดซับสารพิษในบริมาณที่สูง ซึ่งในขณะนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการวิชาการถึงภัยอันตรายนี้

• ถึงแม้การใช้ถุงผ้าฝ้ายจะส่งผลกระทบต่อการลดลงของชั้นโอโซนสูงสุด แต่สถานการณ์ปัจจุบันชั้นโอโซนของโลกเริ่มฟื้นตัวไปในทางที่ดี ถ้าจะพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตัวที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจำนวนครั้งที่จะต้องใช้ถุงผ้าฝ้ายซ้ำจะเหลือเพียง 52 ครั้ง สำหรับผ้าฝ้ายธรรมดา และ 149 ครั้ง สำหรับผ้าฝ้ายอินทรีย์ เท่านั้น

• การใช้ถุงที่ทำจากวัสดุรีไซเคิ่ล เช่น LDPE, PP, PET มีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมากกว่าถุงที่ผลิตจากเม็ดพลาสติก (ตารางที่ 1) เนื่องจากกระบวนการรีไซเคิ่ลพลาสติกใช้พลังงานมากกว่าการผลิตเม็ดพลาสติกบริสุทธิ์ รวมถึงคุณสมบัติของถุงพลาสติกที่แย่ลงรับน้ำหนักของได้น้อยลง (ตารางที่ 2)

สำหรับย่อหน้าส่งท้ายของบทความนี้ จากการวิเคราะห์การทำ LCA ของรายงานผลกระทบการใช้ถุงหิ้วชนิดต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการทำ LCA ไม่ใช้ศาสตร์ที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ กรอบการประเมิน สมมุติฐาน บริบทของข้อมูล และข้อมูลที่ใช้ในการประเมิน ดังนั้นอยากจะฝากไว้กับผู้อ่านอย่าเพิ่งตระหนกกับผลการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการทำ LCA ขอให้พิจารณาเนื้อในของตัวรายงาน ตั้งคำถามว่าทำไมผลถึงออกมาเป็นเช่นนั้น และถ้ามีข้อสงสัยก็สามารถสืบค้นได้ด้วยตนเองหรือซักถามผู้ที่มีความรู้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปกับผลที่รายงานออกมา สุดท้ายอยากฝากเอาไว้ว่า LCA ไม่ใช่เครื่องมือที่ทรงพลังที่สามารถตอบได้ทุกคำถาม และคำตอบที่ได้ออกมาก็มีความคลาดเคลื่อนตามคุณภาพของข้อมูล หัวใจหลักของการทำ LCA คือ ผู้วิจัยที่จะต้องเป็นผู้แปรผล และหาทางแก้ปัญหาในสิ่งที่ค้นพบในการทำ LCA ต่างหากที่สำคัญ


บรรณานุกรม
Bisinella, V., Albizzati, P.F., Astrup, T.F., Damgaard, A., 2018. Life cycle assessment of grocery carrier bags. The Danish Environmental Protection Agency: Denmark, p. 143.

 

 

 


บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์