ผักตบชวากับการบำบัดสารมลพิษในน้ำ

บทคัดย่อ

การปนเปื้อนของสารมลพิษในแหล่งน้ำจัดว่าเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทย และในหลายภูมิภาคทั่วโลก เนื่องมาจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเกษตรกรรมแนวใหม่ และการบริโภควัตถุที่มากเกินความต้องการของประชาชน ส่งผลให้เกิดผลกระทบหลายประการ เช่น แหล่งน้ำเน่าเสียจากภาวะ Eutrophication หรือแหล่งน้ำปนเปื้อนโลหะหนักและสารฆ่าแมลง ทำให้น้ำมีคุณภาพต่ำจนไม่สามารถนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคได้ การบำบัดสารมลพิษในน้ำสามารถทำได้ทั้งวิธีทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ สำหรับวิธีทางกายภาพและเคมี เช่น การแยกสารมลพิษโดยใช้ความร้อน (thermal desorption) การแลกเปลี่ยนไอออน (ion exchange) การกรองแยกผ่านเมมเบรน (membrane separation-filtration) หรือการบำบัดทางสารเคมี (chemical treatment) ล้วนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดี ใช้ระยะเวลาสั้น และเหมาะสมในกรณีที่สารมลพิษมีความเข้มข้นสูง แต่เทคนิคดังกล่าวมักจะมีค่าใช้จ่ายสูงทั้งในเรื่องของเครื่องมือและอุปกรณ์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงมีแนวความคิดที่จะนำพืชสีเขียวมาใช้บำบัดสารมลพิษ (Phytoremediation) ที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ซึ่งวิธีนี้จะสามารถบำบัดได้ทั้งสารมลพิษประเภทสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ มีต้นทุนต่ำ และประหยัดพลังงาน ผักตบชวา หรือ water hyacinth มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eichhornia crassipes (Mart.) Solms จัดอยู่ในวงศ์ Pontederiaceae ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการศึกษาวิจัยกันมาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศในเรื่องความสามารถในการบำบัดสารมลพิษที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ในกรณีของสารมลพิษอินทรีย์ พบว่าผักตบชวาสามารถบำบัดอินทรียวัตถุและธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส รวมทั้งสารฆ่าแมลงบางชนิดด้วย ส่วนสารอนินทรีย์พบว่า ผักตบชวาสามารถสะสมแคดเมียม โครเมียม ทองแดง ปรอท ตะกั่ว ซีเซียม สตรอนเทียม และยูเรเนียมได้ในปริมาณสูง ทั้งนี้กลไกในการบำบัดสารมลพิษแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นภายในต้นผักตบชวาน่าจะมีความแตกต่างกัน


นัยนันทน์ อริยกานนท์. (2561). ผักตบชวากับการบำบัดสารมลพิษในน้ำ. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 22 (ฉบับที่ 3), 49-55.

ผักตบชวากับการบำบัดสารมลพิษในน้ำ

รองศาสตราจารย์ ดร.นัยนันทน์ อริยกานนท์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บทนำ 
การปนเปื้อนของสารมลพิษในแหล่งน้ำจัดว่าเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทย และในหลายภูมิภาคทั่วโลก เนื่องมาจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเกษตรกรรมแนวใหม่ และการบริโภควัตถุที่มากเกินความต้องการของประชาชน ส่งผลให้เกิดผลกระทบหลายประการ เช่น แหล่งน้ำเน่าเสียจากภาวะ Eutrophication หรือแหล่งน้ำปนเปื้อนโลหะหนักและสารฆ่าแมลง ทำให้น้ำมีคุณภาพต่ำจนไม่สามารถนำมาใช้ในการอุปโภคบริโภคได้ 

การบำบัดสารมลพิษในน้ำสามารถทำได้ทั้งวิธีทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ สำหรับวิธีทางกายภาพและเคมี เช่น การแยกสารมลพิษโดยใช้ความร้อน (thermal desorption) การแลกเปลี่ยนไอออน (ion exchange) การกรองแยกผ่านเมมเบรน (membrane separation-filtration) หรือการบำบัดทางสารเคมี (chemical treatment) ล้วนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดี ใช้ระยะเวลาสั้น และเหมาะสมในกรณีที่สารมลพิษมีความเข้มข้นสูง แต่เทคนิคดังกล่าวมักจะมีค่าใช้จ่ายสูงทั้งในเรื่องของเครื่องมือและอุปกรณ์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงมีแนวความคิดที่จะนำพืชสีเขียวมาใช้บำบัดสารมลพิษ (Phytoremediation) ที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม  ซึ่งวิธีนี้จะสามารถบำบัดได้ทั้งสารมลพิษประเภทสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ มีต้นทุนต่ำ และประหยัดพลังงาน 

ผักตบชวา หรือ water hyacinth มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Eichhornia crassipes (Mart.) Solms จัดอยู่ในวงศ์ Pontederiaceae ผักตบชวาเป็นพืชที่มีการศึกษาวิจัยกันมาอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศในเรื่องความสามารถในการบำบัดสารมลพิษที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ในกรณีของสารมลพิษอินทรีย์ พบว่าผักตบชวาสามารถบำบัดอินทรียวัตถุและธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส รวมทั้งสารฆ่าแมลงบางชนิดด้วย  ส่วนสารอนินทรีย์พบว่า ผักตบชวาสามารถสะสมแคดเมียม โครเมียม ทองแดง ปรอท ตะกั่ว ซีเซียม สตรอนเทียม และยูเรเนียมได้ในปริมาณสูง ทั้งนี้กลไกในการบำบัดสารมลพิษแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นภายในต้นผักตบชวาน่าจะมีความแตกต่างกัน

ประวัติของผักตบชวา
ผักตบชวาเป็นพืชน้ำล้มลุกอายุหลายฤดู มีถิ่นกำเนิดในแถบลุ่มน้ำแอมะซอน ประเทศบราซิล ผักตบชวาถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2444 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยนำเข้ามาจากเกาะชวาในขณะเสด็จประพาสประเทศอินโดนีเซีย เริ่มแรกเริ่มได้ปลูกไว้หน้าสนามวังสระปทุม ต่อมาผักตบชวาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและแพร่พันธุ์จนเต็มวังสระปทุม จึงต้องนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่คลองสามเสนหลังวัง พร้อมกับคลองอื่น ๆ เช่น คลองเปรมประชากร คลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น (วิกิพีเดีย, 2560)  ในกรณีของประเทศไทย ผักตบชวาจัดเป็นพืชต่างถิ่นที่เข้ามาแพร่ระบาดจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศน์ เนื่องจากเป็นพืชที่มีความทนต่อสภาพแวดล้อมในช่วงกว้าง จึงสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว  เมื่อจำนวนผักตบชวามีมากเกินไปจะไปขัดขวางการไหลของน้ำ ส่งผลให้อัตราการไหลของน้ำในแม่น้ำลำคลองช้าลง และกีดขวางการระบายน้ำของประตูน้ำ นอกจากนั้นการที่มีผักตบชวาเจริญเกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่น จะบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องลงไปในน้ำ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำบางชนิดไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ และยังมีผลให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในแหล่งน้ำลดลง ทำให้สภาพทางเคมีของน้ำเปลี่ยนแปลงไป เกิดน้ำเน่าเสีย และท้ายสุดจะส่งผลกระทบถึงความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำในบริเวณนั้น  

ภาพที่ 1 ผักตบชวาในแหล่งน้ำธรรมชาติ

องค์ประกอบทางเคมีของผักตบชวา
ผลการวิจัยพบว่าใบอ่อนของผักตบชวามีโปรตีนมากกว่าใบแก่ สำหรับโปรตีนที่พบในใบของผักตบชวา ได้แก่ กลูตามีน (glutamine) แอสพาราจีน (asparagine) และลิวซีน (leucine) องค์ประกอบทางเคมีของผักตบชวาจะมีความผันแปรไปตามฤดูกาล ประเภทของถิ่นที่อยู่อาศัย และความถี่ในการเก็บเกี่ยว 

ผักตบชวามี crude protein ในปริมาณปานกลาง มี  nitrogen free extracts และ total ash ในปริมาณสูง (ตารางที่ 1) จึงจัดว่ามีธาตุอาหารเพียงพอต่อการเป็นอาหารสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว และแพะ รวมทั้งหมู และเป็ด (Hossain et al., 2015) นอกจากนี้ผักตบชวาสามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพได้ การวิจัยเพื่อศึกษาผลของการใช้ผักตบชวาเป็นปุ๋ยชีวภาพที่มีต่อการเจริญเติบโตของข้าวสาลี พบว่า ในชุดทดลองที่ปลูกข้าวสาลีและเติมปุ๋ยหมักจากผักตบชวาเป็นเวลา 15 วัน อัตราการงอกของเมล็ด ความยาวของราก ความยาวของส่วนยอด มวลชีวภาพ ปริมาณคลอโรฟิลล์  ปริมาณโปรตีน และน้ำตาลรีดิวซ์มีค่ามากกว่าในชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าผักตบชวามีศักยภาพที่จะนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักอินทรีย์ (Vidya and Girish, 2014) 

ตารางที่ 1 องค์ประกอบทางเคมีของผักตบชวา 

พารามิเตอร์ องค์ประกอบทางเคมี
(กรัม/100 กรัม น้ำหนักแห้ง)
Dry matter 9.3 + 0.5
Crude protein 10.5 + 0.5
Crude fiber 26.9 + 0.6
Nitrogen free extracts 48.7 + 1.2
Ether extracts 1.5 + 0.3
Total ash 12.4 + 0.1

ที่มา : ดัดแปลงจาก Hossain et al (2015)

ผักตบชวากับการบำบัดสารมลพิษในน้ำ
การนำผักตบชวามาใช้ในการบำบัดสารมลพิษในน้ำ เนื่องจากเป็นพืชที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหลายประการ อาทิ มีความสามารถในการดูดซึมทั้งสารมลพิษอินทรีย์และอนินทรีย์ในปริมาณสูง เจริญเติบโตได้เร็วแม้ว่าจะอยู่ในน้ำเสีย เป็นพืชที่มีรากยาว และโครงสร้างของรากมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์แบบใช้ออกซิเจน ซึ่งจุลินทรีย์ที่อยู่บริเวณรากของผักตบชวาจะมีบทบาทในการเปลี่ยนอินทรียวัตถุ รวมทั้งธาตุอาหารต่างๆที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำเสียให้กลายเป็นสารประกอบอนินทรีย์ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ผักตบชวายังเป็นพืชที่มีความทนต่อสภาพแวดล้อมในช่วงกว้าง (ตารางที่ 2) 

ตารางที่ 2 สภาพการเจริญเติบโตของผักตบชวา
พารามิเตอร์  ช่วง
อัตราการเติบโต (คิดจากน้ำหนักแห้ง) 0.04-0.08 กิโลกรัม น้ำหนักแห้ง/ตารางเมตร/วัน
อัตราการเติบโต (คิดจากพื้นที่ผิว) 1.012-1.017 ตารางเมตร/วัน
อัตราการเติบโต (คิดจากจำนวนต้น) 1,610 ต้น จาก 10 ต้น ภายใน 10 เดือน
ความเป็นกรดด่างของน้ำ 6-8
ความเค็มของน้ำ น้อยกว่า 5 มิลลิกรัมต่อลิตร
อุณหภูมิของน้ำ 10-40 องศาเซลเซียส

ที่มา : Rezania et al. (2015)

ผักตบชวากับการกำจัดสารฆ่าแมลง
การศึกษาความสามารถในการกำจัดคลอร์ไพริฟอส (chlorpyrifos) ของผักตบชวาของ Anudechakul และคณะ (2015) โดยทดลองปลูกผักตบชวาในสารละลายคลอร์ไพริฟอสที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 0.1, 0.5 และ 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็นเวลา 10 วัน พบว่า ผักตบชวาจะสะสมคลอร์ไพริฟอสไว้ที่รากมากที่สุดในวันที่ 3 ของการทดลอง ต่อมาคือที่ลำต้นในวันที่ 6 และที่ใบในวันที่ 8 แสดงให้เห็นว่ามีการเคลื่อนย้ายของคลอร์ไพริฟอสจากส่วนรากไปสู่ลำต้น และใบ ส่วนความสามารถในการกำจัดคลอร์ไพริฟอสของผักตบชวาที่ปลูกในสารละลายคลอร์ไพริฟอสที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร เกือบจะเป็น 100%  ภายในเวลาเพียง 4 วัน ส่วนความสามารถในการกำจัดคลอร์ไพริฟอสของผักตบชวา ที่ปลูกในสารละลายคลอร์ไพริฟอสที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 0.5 และ 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่าเท่ากับ 91% และ 82% ตามลำดับ  นอกจากนั้นในงานวิจัยนี้ยังพบว่าอัตราการกำจัดคลอร์ไพริฟอสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการทำงานร่วมกันระหว่างพืชและจุลินทรีย์ในเขตรากพืช ซึ่งสามารถแยกเชื้อจุลินทรีย์และได้ตั้งชื่อว่า Acinetobacter sp. strain WHA 

ภาพที่ 2  การ colonization ของเชื้อ Acinetobacter sp. strain WHA
ริเวณรากผักตบชวาที่ถ่ายภาพจากกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนที่กำลังขยาย 7,500 เท่า  

กลไกของพืชในการกำจัดสารฆ่าแมลง เรียกว่า การย่อยสลายโดยพืช (Phytodegradation) เป็นกระบวน การที่พืชย่อยสลายสารอินทรีย์โดยอาศัยกลไกการดูดซึมสารมลพิษเข้ามาภายในต้น จากนั้นจึงปล่อยเอนไซม์ออก มาย่อยสลายสารมลพิษ จนเปลี่ยนรูปกลายเป็นสารที่มีความเป็นพิษน้อยลงหรือไม่มีความเป็นพิษ สารบางชนิดอาจถูกย่อยสลายได้ไม่สมบูรณ์  ในขณะที่สารบางชนิดอาจถูกย่อยสลายจนกระทั่งได้ผลผลิตสุดท้ายเป็นสารอนินทรีย์ การย่อยสลายโดยพืชประกอบไปด้วย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกพืชจะดูดซึมสารมลพิษอินทรีย์ผ่านเข้าสู่ราก และขั้นที่สองจะเกิดการเผาผลาญสารอินทรีย์ในพืช

การเผาผลาญสารอินทรีย์ในพืชแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การเปลี่ยนรูป (transformation) ซึ่งสารที่ได้จากการเปลี่ยนรูปมักจะมีความเป็นพิษน้อยลง และละลายน้ำได้ดีกว่าสารประกอบดั้งเดิม (2) การรวมกัน (conjugation) เป็นการรวมกันของสารมลพิษอินทรีย์กับโมเลกุลที่ละลายน้ำได้ดี เช่น กรดมาโลนิก กลูโคส กลูตาไธโอน  ซิสเทอีน และกรดอะมิโนชนิดอื่นๆ ที่มีตัวเร่งปฏิกิริยา ได้แก่ เอนไซม์ malonyl transferase, glucosyl transferase และ glutathione transferase  ทำให้ผลผลิตที่ได้ในขั้นตอนนี้ลดความเป็นพิษลง หรือไม่มีความเป็นพิษเลยเมื่อเปรียบเทียบกับสารประกอบดั้งเดิม (3) การแยกสารที่รวมกันแล้วออกเป็นสัดส่วน (sequestration) เพื่อเก็บสะสมไว้ในแวคิวโอล (นัยนันทน์ อริยกานนท์, 2558)

ผักตบชวากับการบำบัดสารอนินทรีย์
ผลการวิจัยพบว่า ผักตบชวามีความสามารถในการบำบัดโลหะหนักในน้ำเสียจากอุตสาหกรรมเซรามิคได้หลายชนิด ซึ่งประสิทธิภาพการบำบัดเหล็ก สังกะสี แคดเมียม ทองแดง โครเมียม และโบรอนในน้ำเสียมีค่าเท่ากับ 99%, 98%, 96%, 88%, 83% และ 75% ตามลำดับ นอกจากนั้นงานวิจัยนี้ยังพบว่าโลหะหนักจะสะสมในส่วนรากมากกว่าลำต้นและใบถึง 10 เท่า (Elias et al., 2014)  

ในกรณีของโลหะหนักที่มีความเป็นพิษสูง เช่น ปรอท พบว่าเมื่อทดลองปลูกผักตบชวาในสารละลายธาตุอาหารที่มีไอออนของปรอท ผักตบชวาจะสะสมไอออนของปรอทไว้ที่บริเวณราก ใบ และลำต้น เท่ากับ 1.99, 1.74 และ 1.39 มิลลิกรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ (Malar et al., 2015)

การศึกษาความสามารถของผักตบชวาในการบำบัดสังกะสีออกไซด์ขนาดนาโนเมตร โดยการปลูกพืชในสารละลายสังกะสีออกไซด์ที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 3.5, 5.0 และ 7.5 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็นเวลา 15 วัน พบว่าผักตบชวาสามารถบำบัดสังกะสีออกไซด์ขนาดนาโนเมตรได้เท่ากับ 93%, 91% และ 87% ตามลำดับ นอกจากนั้นยังพบว่าผักตบชวาที่ปลูกในสารละลายสังกะสีออกไซด์ที่มีความเข้มข้นเริ่มต้นเท่ากับ 7.5 มิลลิกรัมต่อลิตร จะสะสมสังกะสีไว้ในราก ลำต้น และใบได้มากที่สุดเท่ากับ 945.83 + 73.69, 129.11 + 5.93 และ 61.44 + 3.13 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ  (Bookrue and Ariyakanon, 2017) 

ผักตบชวาจัดว่าเป็นพืชประเภท hyperaccumulator หมายถึงพืชชนิดพิเศษที่สามารถสะสมโลหะหนักได้ในระดับที่สูงมาก  โดยที่ไม่แสดงอาการผิดปกติ สำหรับกลไกการดูดโลหะหนักของผักตบชวา เรียกว่า การสกัดโดยพืช (Phytoextraction) กระบวนการนี้เริ่มจากการที่พืชดูดซึมสารมลพิษผ่านเข้ามาทางเซลล์ราก ในขณะที่โลหะหนักบางส่วนจะถูกจับไว้ที่บริเวณผนังเซลล์ ต่อมาโลหะหนักจะถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในเนื้อเยื่อพืชเนื่องจากความต่อเนื่องของเนื้อเยื่อชั้นผิว (epidermis) และคอร์เทกซ์ (cortex) ในราก จากนั้นจึงเกิดการเคลื่อนย้ายของโลหะหนักจากรากไปยังส่วนยอด ซึ่งน่าจะเป็นการขับเคลื่อนโดยกระบวนการคายน้ำ เมื่อโลหะหนักเคลื่อนย้ายมายังเซลล์ของส่วนยอด พืชจะมีกระบวนการลดความเป็นพิษของโลหะหนัก จากนั้นจึงเก็บโลหะหนักไว้ในตำแหน่งที่จะไม่เป็นอันตรายต่อกระบวนการที่สำคัญในระดับเซลล์ (นัยนันทน์ อริยกานนท์, 2558) 

ผักตบชวากับการบำบัดอินทรียวัตถุและธาตุอาหาร
ความสามารถของผักตบชวาในการกำจัดอินทรียวัตถุ และธาตุอาหารที่ปนเปื้อนในน้ำได้มีการวิจัยกันทั้งในระดับห้องปฏิบัติการ ในเรือนทดลอง และในพื้นที่จริง ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายท่านพบว่าการปลูกผักตบชวาในน้ำเสียจะช่วยลดความเข้มข้นของไนโตรเจนทั้งหมด แอมโมเนียมไอออน แอมโมเนีย ไนเตรท ฟอสฟอรัสทั้งหมด และฟอสเฟตได้  นอกจากนั้นผักตบชวายังมีส่วนทำให้ค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) และของแข็งแขวนลอยทั้งหมด (Total Suspended Solids) ในน้ำลดลงอีกด้วย 

การศึกษาประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียชุมชนโดยใช้ผักตบชวาพบว่า จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป 14 ชั่วโมง โดยค่าซีโอดีและบีโอดีจะลดลง 79% และ 86% ตามลำดับ ส่วนการกำจัดไนโตรเจนทั้งหมด ฟอสฟอรัสทั้งหมด ของแข็งแขวนลอยทั้งหมด ฟอสเฟต และแอมโมเนียมีค่าเท่ากับ 76.61%, 44.84%, 73.02%, 38.69% และ 72.48% ตามลำดับ นอกจากนั้นยังพบว่าส่วนรากของผักตบชวาจะทำหน้าที่ขนส่งธาตุอาหาร ในขณะที่ส่วนยอดจะทำหน้าที่สะสมธาตุอาหาร ซึ่งในที่นี้คือไนโตรเจนและฟอสฟอรัส (Valipour et al., 2015) 

กลไกสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดธาตุอาหารของผักตบชวาคือ การกรองโดยรากพืช (Rhizofiltration) หมายถึงการที่รากพืชดูดหรือกรองสารมลพิษ  ในกรณีที่สารมลพิษอยู่ในรูปของสารละลายที่ปนเปื้อนในน้ำ ซึ่งพืชจะสะสมสารมลพิษไว้ในรากเท่านั้น  เมื่อทำการเก็บเกี่ยวพืชหลังจากทำการบำบัดสารมลพิษแล้ว จึงสามารถนำส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินของพืชไปใช้ประโยชน์ได้ สำหรับส่วนรากนั้นจำเป็นจะต้องนำไปบำบัดด้วยวิธีอื่นที่เหมาะสมต่อไป  

บทสรุป
แม้ว่าผักตบชวาจะจัดว่าเป็นวัชพืชต่างถิ่นที่สร้างปัญหาในแหล่งน้ำของประเทศไทย แต่ก็เป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น เป็นอาหารสัตว์ ปุ๋ยหมักชีวภาพ และบำบัดสารมลพิษในน้ำ  ผักตบชวาได้รับการวิจัยมาอย่างต่อเนื่องถึงประสิทธิภาพในการกำจัดโลหะหนัก สารฆ่าแมลง และธาตุอาหารที่ปนเปื้อนในน้ำเสีย ซึ่งการบำบัดน้ำเสียโดยใช้พืชได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ อาศัยกลไกตามธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามการบริหารจัดการ และควบคุมการเจริญเติบโตของผักตบชวาในระบบให้เหมาะสม ตลอดจนการตรวจสอบคุณภาพของน้ำเสียเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบำบัดน้ำเสียโดยใช้ผักตบชวาดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เอกสารอ้างอิง
​นัยนันทน์ อริยกานนท์. 2558. การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมโดยพืช. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 
วิกิพีเดีย. 2560. ผักตบชวา. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/ [14 ธันวาคม 2560]
Anudechakul, C., Vangnai A. S., Ariyakanon N. 2015. Removal of chlopyrifos by water hyacinth  (Eichhornia crassipes) and the role of a plant-associated bacterium. International Journal of Phytoremediation 17: 678-685.
Bookrue, E and Ariyakanon, N. 2017. Effects of ZnO nanoparticle on plant growth, plant stress, Zn bioaccumulation in water hyacinth (Eichhornia crassipes). The 4th EnvironmentAsia International Conference June 21-23, 601-614.
Elias, S. H., Mohamed, M., Anuar, A.N., Muda, K., Hassan, M. A. H. M., Othman, M. N., Chelliapan, S. 2014. Water hyacinth bioremediation for ceramic industry wastewater treatment Application of rhizofiltration system. Sains Malaysiana 43(9): 1397-1403.
Hossain, M.E., Sikder, H., Kabir, M.H., Sarma, S.M. 2015. Nutritive of water hyacinth (Eichhornia crassipes). Journal of Animal and Feed Research 5(2): 40-44.
Malar, S., Sahi, S.V., Favas, P.J., Venkatachalam, P. 2015. Mercury heavy-metal induced physiochemical changes and geotoxic alterations in water hyacinths [Eichhornia crassipes (Mart.)]. Environmental Science and Pollution Research 22: 4597-4608.
Rezania, S., Ponraj, M., Talaiekhozani, A., Mohamad, S.E., Din, M.F.M., Taib, S.M., Sabbagh, F., Sairan, F. D. 2015. Perspectives of phytoremediation using water hyacinth for removal of heavy metals, organic and inorganic pollutants in wastewater. Journal of Environmental Management 163: 125-133.
Valipour, A., Raman, V.K., Ahn, Y. H. 2015. Effectiveness of domestic wastewater treatment using a bio-hedge water hyacinth wetland system. Water 7: 329-347.
Vidya, S. and Girish, L. 2014. Water hyacinth as a green manure for organic farming. International Journal of Research in Applied, Natural and Social Sciences 2: 65-72.
 

 

 
 

 


บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

ขอบเขตของเนื้อหา

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารที่นำเสนอบทความวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ไม่เข้มข้นมากนัก เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคคลทั่วไป รูปแบบของการเขียนบทความเป็นในลักษณะดังนี้

  1. หากเป็นการนำเสนอความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัย ควรประกอบด้วย ความสำคัญและที่มาของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการศึกษาในรูปแบบของหลักการศึกษาพอสังเขป ผลการศึกษาพร้อมการอภิปรายผลผล สรุปนำเสนอความรู้ที่ได้จากการวิจัย
  2. หากเป็นบทความเชิงวิจารณ์ บทความวิชาการ ซึ่งเรียบเรียงจากความรู้ต่าง ๆ และ ผลงานวิจัยของผู้อื่น ควรประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ การวิเคราะห์และวิจารณ์ ซึ่งมีการนำเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมถึงแนวโน้ม หรือข้อดีและข้อเสีย หรือข้อสรุปอย่างชัดเจน

2

ความยาวของบทความ

ควรมีความยาวของบทความขนาดไม่เกิน 10 หน้า (รวมรูปภาพและตาราง) โดยการใช้ font ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 Single space

3

รูปในบทความ

ให้ส่งไฟล์รูปภาพ ที่มีขนาดรูปเท่าที่ต้องการนำเสนอจริง และมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi หรือ ไฟล์ภาพต้นฉบับ

  1. หากเป็นรูปที่นำมาจากแหล่งอื่นต้องอ้างอิงแหล่งที่มา
  2. หากเป็นรูปที่ถ่ายมาเอง ให้ระบุชื่อเป็นของผู้เรียบเรียงบทความ

4

การอ้างอิงทางบรรณานุกรม

กำหนดให้ผู้เขียนบทความใช้ระบบ APA 6th ed โดยการอ้างอิงในเนื้อหาเป็นแบบ “ผู้แต่ง, ปีพิมพ์” และมีวิธีการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง ดังนี้

  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http:/.....

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารที่ดูแลโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารสารนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในบริบทของประเทศไทยออกสู่สาธารณชน ครอบคลุมในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการเมือง การจัดการของเสียและขยะ การป้องกันและควบคุมมลพิษ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นโยบายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

สิ่งแวดล้อมไทยเผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถนำเสนองานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและระดับสากล วารสารนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้

สิ่งแวดล้อมไทย หรือในชื่อเดิม วารสารสิ่งแวดล้อม เริ่มเผยแพร่ในแบบรูปเล่มฉบับแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และเปลี่ยนการเผยแพร่เป็นรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยดำเนินการเผยแพร่วารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม และได้รับการจัดอันดับในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3 โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (PRINT) : 0859-3868 และ ISSN (ONLINE) : 2586-9248

ในปี พ.ศ. 2566 วารสารสิ่งแวดล้อมได้ปรับปรุงการเผยแพร่บทความ เพื่อมุ่งสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index; TCI) ที่สูงขึ้นในระดับ Tier 2 ซึ่งประกอบด้วย การปรับความถี่ในการเผยแพร่เป็น 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับปรุงการจัดส่งบทความจากเดิมที่เป็นการจัดส่งต้นฉบับทางอีเมล์ eric@chula.ac.th เป็นจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) พร้อมเพิ่มเติมขั้นตอนการประเมินบทความในลักษณะ Double blind review จากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่านก่อนการเผยแพร่ ซึ่งการประเมินจะมีความเข้มข้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นชื่อใหม่ของวารสาร เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2567 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI ซึ่งได้กำหนดให้วารสารต้องมีเลข ISSN ที่จดทะเบียนตามชื่อภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักสากล และเพื่อให้วารสารได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

สิ่งแวดล้อมไทย ISSN : 2686-9248 (Online)
ความถี่ในการเผยแพร่ : 2 เล่ม/ปี (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
ฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี : Thai-Journal Citation Index (TCI), Tier 3

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environment) เป็นวารสารที่เผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในบริบทของประเทศไทยออกสู่สาธารณชน โดยเนื้อหาครบคลุมทั้งในมิติของนโยบาย กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การจัดการ รวมถึงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ทางด้านสิ่งแวดล้อม หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับวารสารมีดังต่อไปนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การจัดการเมือง
  • การจัดการของเสียและขยะ
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
  • นโยบายสิ่งแวดล้อม
  • สิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

เกณฑ์หลักสำหรับการตีพิมพ์ คือ คุณภาพของข้อมูลและเนื้อหาที่เหมาะกับผู้อ่านทั่วไป

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์
ภุมรินทร์ คำเดชศักดิ์

กองบรรณาธิการ

ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
บัวหลวง ฝ้ายเยื่อ
วิไลลักษณ์ นิยมมณีรัตน์
วัชราภรณ์ สุนสิน
ศีลาวุธ ดำรงศิริ
อาทิมา ดับโศก
กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย

ที่ปรึกษา

ปกฉัตร ชูติวิศุทธิ์

บทความที่ส่งมายังสิ่งแวดล้อมไทยต้องไม่เคยตีพิมพ์มาก่อนและต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในที่อื่น หลังจากส่งบทความ บทความนั้นจะถูกประเมินว่าตรงตามวัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้หรือไม่ บทความที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำทั้งหมดจะถูกประเมินโดยผู้ตรวจสอบอิสระอย่างน้อย 2 ท่านเพื่อประเมินคุณภาพของข้อมูลและการเขียนบทความ

วารสารนี้ใช้กระบวนการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดสองฝ่าย โดยบรรณาธิการเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความทั้งหมด และการตัดสินใจของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หลังจากที่ได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะถูกดำเนินการเพื่อการผลิตและการตีพิมพ์ ผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์บทความ และจะถูกขอให้โอนลิขสิทธิ์บทความให้กับผู้จัดพิมพ์ในระหว่างกระบวนการพิสูจน์อักษร นอกจากนี้ ทางวารสารจะมีการกำหนดหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) ให้กับบทความทั้งหมดที่กำหนดให้ตีพิมพ์ในฉบับ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผังด้านล่าง

สำหรับสำนักพิมพ์

สิ่งแวดล้อมไทยเป็นวารสารวิชาการที่เข้าใจถึงความสำคัญของจริยธรรมในการตีพิมพ์ทางวิชาการ ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ควรปฏิบัติตามแนวทาง “คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)” (https://publicationethics.org/) เครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ “อักขราวิสุทธิ์” จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจงหรือปฏิเสธ หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยทันที ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วารสารจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิโดยปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review) สำหรับต้นฉบับทั้งหมดที่วารสารได้รับ

สำหรับบรรณาธิการ

บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินบทความ กองบรรณาธิการประกอบด้วยหัวหน้ากองบรรณาธิการบริหาร และกองบรรณาธิการ โดยทั่วไปหัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ กองบรรณาธิการทำหน้าที่ในการเชิญผู้ประเมินเพื่อพิจารณาบทความซึ่งจะเรียกว่าบรรณาธิการประจำบทความ และอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย กองบรรณาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาการวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามหัวข้อต่าง ๆ ของวารสาร จากขอบเขตการวิจัยของต้นฉบับที่ส่งมา หัวหน้าบรรณาธิการจะมอบหมายต้นฉบับให้กับกองบรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการประจำบทความมีหน้าที่ส่งต่อต้นฉบับให้กับผู้ประเมินที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม และจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการพิจารณษบทความที่มีศักยภาพในการตีพิมพ์ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการตีพิมพ์ บรรณาธิการวารสารทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

  • บรรณาธิการจะต้องยึดถือหลักจริยธรรมในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับวารสาร
  • บรรณาธิการจะต้องเลือกผู้ประเมินที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องและไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับผู้เขียนต้นฉบับ
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ประเมินให้ผู้เขียนทราบ และในทางกลับกัน
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ จากต้นฉบับก่อนตีพิมพ์
  • ข้อมูลหรือความคิดเห็นของผู้ประเมินจะต้องเก็บเป็นความลับและไม่ควรนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

สำหรับผู้แต่ง

ผู้เขียนต้นฉบับควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อต้นฉบับ รวมถึงแนวความคิด การค้นคว้า การออกแบบการศึกษา การวิเคราะห์และให้บทสรุป และการเขียน นอกจากนี้ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

  • ต้นฉบับจะต้องไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ก่อนที่จะส่งมายังสิ่งแวดล้อมไทย ผลลัพธ์บางส่วนที่รายงานในต้นฉบับที่ส่งมาได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการ จะต้องระบุและนำเสนอเป็นหมายเหตุในต้นฉบับ
  • ผู้เขียนสามารถส่งต้นฉบับไปยังวารสารอื่นได้เฉพาะเมื่อต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยวารสารเท่านั้น
  • ผู้เขียนจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับแล้ว
  • ผู้เขียนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการลอกเลียนแบบ
  • เป็นหน้าที่ของผู้เขียนในการตอบสนองต่อความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมดของผู้วิจารณ์ หากผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นใด ๆ ของผู้วิจารณ์ ผู้เขียนควรให้คำอธิบาย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบรรณาธิการประจำบทความที่ได้รับมอบหมายหรือหัวหน้ากองบรรณาธิการ
  • สิ่งแวดล้อมไทยปฏิบัติตามนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการประพันธ์ ควรขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงผู้เขียนจากผู้เขียนทุกคน หากผู้เขียนคนใดต้องการเปลี่ยนลำดับของผู้เขียน เช่น เพิ่ม/ลบผู้เขียน หรือเปลี่ยนแปลงผู้เขียนที่เกี่ยวข้อง

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญในการตีพิมพ์ต้นฉบับ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงคุณภาพต้นฉบับและรับประกันว่าต้นฉบับมีค่าควรแก่การตีพิมพ์และจะนำไปสู่ความรู้ทางวิชาการ นอกจากนี้ ผู้ประเมินอาจมีอิทธิพลต่อต้นฉบับขั้นสุดท้ายพร้อมกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางต่อไปนี้

  • ผู้ประเมินควรปฏิเสธคำขอตรวจสอบหากงานวิจัยของต้นฉบับไม่อยู่ในความเชี่ยวชาญของตน
  • ผู้ประเมินควรแสดงความคิดเห็นตามความเชี่ยวชาญของตนเท่านั้น และไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  • ผู้ประเมินจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลหรือผลลัพธ์จากต้นฉบับก่อนที่จะตีพิมพ์
  • ผู้ประเมินควรแจ้งบรรณาธิการหากสงสัยว่าต้นฉบับมีผลงานซ้ำกับบทความที่ตีพิมพ์อื่น ๆ

บทความวิชาการทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในสิ่งแวดล้อมไทย เป็นแบบเปิดเข้าถึงทั้งหมด สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายทันที บทความจะตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสาร

ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้นผู้เขียนจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการ

บทความที่ตีพิมพ์ทั้งหมดได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้นจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการ

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บเงินใด ๆ ตั้งแต่การส่งจนถึงการตีพิมพ์ รวมถึงค่าธรรมเนียมการส่ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้านบรรณาธิการ ค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบทความ ค่าบริการหน้า และค่าสี