การจัดการของเสียในโรงเรียนสู่จังหวัดสะอาด

บทคัดย่อ

ด้วยการมุ่งสู่การผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างวินัยการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โรงเรียนจึงมีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาเยาวชนสู่ครอบครัวและสังคมในการจัดการขยะสู่การลดขยะ ให้เหลือศูนย์ และต่อยอดไปในระดับจังหวัด โดยโรงเรียนมีนโยบายการจัดทำโรงเรียนปลอดขยะและขยายผล ในทุกโรงเรียนของจังหวัด ซึ่งสอดรับกับมาตรการ “จังหวัดสะอาด” ที่ให้โรงเรียนดำเนินงานที่สอดคล้อง กับเป้าหมายในด้านการจัดการขยะต้นทาง หากโรงเรียนดำเนินการเองจะดำเนินงานได้อย่างมีข้อจำกัด ทำให้ต้องเกิดกระบวนการความร่วมมือ พัฒนา โดยอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากสามฝ่ายแบบบูรณาการ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน และภาคเอกชน (ซาเล้ง ร้านรับซื้อของเก่า โรงงานอุตสาหกรรม เอกชนทั้งนอกและในพื้นที่) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยฝ่ายการศึกษา อาจมีบทบาทมากขึ้นในการร่วมเก็บข้อมูล และขยายผลดำเนินการในทุกโรงเรียนเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลระดับจังหวัด ทั้งในด้านการลดการใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจหมุนเวียน การผลิตเป็นพลังงาน (ถ้ามี) การคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจก และการสร้างเครือข่ายเอกชนที่รับของเสียจากโรงเรียนในพื้นที่ที่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้


1. บทนำ

การจัดการขยะในโรงเรียนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เป็นเพียงมาตรการภายในโรงเรียนแบบสมัครใจในการทำโรงเรียนปลอดขยะ ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีโครงการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการโรงเรียนปลอดขยะ แต่เนื่องจากบทบาทหน้าที่ของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการสนับสนุน สร้างแรงจูงใจและส่งเสริมเข้าประกวด รวมถึงเมื่อผู้บริหารโรงเรียนหรือครูผู้รับผิดชอบโครงการได้มีการปรับเปลี่ยนหน้าที่รับผิดชอบหรือโยกย้ายสถานที่ทำงานใหม่ มักทำให้กิจกรรมต่าง ๆ หยุดชะงัก และจะต้องเริ่มใหม่กิจกรรมใหม่ อยู่เสมอ หรืออาจไม่มีการขับเคลื่อนต่อเลยหากมุมมองของผู้บริหารและครูผู้รับผิดชอบเปลี่ยนไป และแม้ว่า มีการขับเคลื่อนจาก กระทรวงมหาดไทย ที่ได้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 จนถึงปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายให้จังหวัดบูรณาการกลไก ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในระดับพื้นที่ หากเพียงแต่การดำเนินงานส่วนใหญ่มุ่งเน้นการดำเนินงาน ที่สอดคล้องกับเป้าหมายในด้านการจัดการขยะต้นทาง ได้แก่ จำนวน "อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก" (อถล.) จำนวนกิจกรรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ๕ ครั้งต่อปี การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การสุ่มตรวจสอบถังขยะเปียกลดโลกร้อน กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง รวมถึงส่งเสริมให้หน่วยงานภายในพื้นที่มีการคัดแยกขยะ (แผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน "จังหวัดสะอาด" ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗) ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว “โรงเรียน” เป็นหน่วยงานสำคัญในการผลักดันแผนเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเป็นแหล่งกำเนิดขยะที่มีรูปแบบไม่ซับซ้อนมากนัก และหากมีระบบการจัดการขยะ ที่ดีจะทำให้การนำไปสู่โรงเรียนปลอดขยะมีความเป็นไปได้มากขึ้น โดยอาศัยกลไกที่อยู่ในระบบที่จะต้องมีการทำงานหลายส่วนมากขึ้น เพื่อให้เกิดโครงสร้างของระบบที่ชัดเจน ทำได้จริง และต่อเนื่อง เกิดเป็นข้อมูลการลดปริมาณขยะจากทุกโรงเรียนในจังหวัด

2. ความเชื่อมโยงการสร้างระบบ

กระทรวงมหาดไทย เป็นหนึ่งในหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการบริหารจัดการขยะ มูลฝอยชุมชน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาขยะมูลฝอยชุมชนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะขยะมูลฝอยชุมชนที่ไม่ได้รับการคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงการบริหารจัดการของหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบยังขาดประสิทธิภาพและขาดความทั่วถึง ดังจะเห็นได้จากการทิ้งขยะของโรงเรียนยังมีปริมาณสูงและไม่มีการเก็บข้อมูลปริมารขยะทั่วไปที่เกิดขึ้น ทั้งนี้การทำงานภายใต้กรอบแผนจังหวัดสะอาดมีบริบทที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนดังนี้

จังหวัด

เริ่มการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้การคัดแยกขยะในครัวเรือน โรงเรียน วัด ที่สาธารณะ ห้างร้าน และร้านค้าในหมู่บ้าน โดยสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด (สถจ.) มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (single – use plastics) ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี ทั้งในหน่วยงานราชการระดับจังหวัด ระดับ อำเภอ และระดับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น รวมไปถึงตลาด โรงเรียน โรงพยาบาล งานกิจกรรม และเทศกาล (event) ที่จัดโดยจังหวัด

อำเภอ

เมื่อมีการประชุมรับมอบนโยบายจากจังหวัดแล้ว ให้นายอำเภอจัดประชุมผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และกำนันทุกตำบล เพื่อชี้แจงแนวทางขั้นตอน วิธีการบริหารจัดการขยะ เพื่อให้ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ร่วมดำเนินการ และ ดำเนินการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะในครัวเรือน โรงเรียน วัด ที่สาธารณะ ห้างร้าน ร้านค้าในหมู่บ้าน เป็นต้น โดยให้อำเภอเริ่มต้นการรณรงค์ และประชาสัมพันธ์ภายในกำหนดเวลาที่จังหวัดกำหนด

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เริ่มการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และส่งเสริมการสร้างวินัย“แยกก่อนทิ้ง” และหลักการ 3 ช (ใช้น้อย ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่) ภายในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบ โดยการสร้างการรับรู้และส่งเสริมการสร้างวินัย “แยกก่อนทิ้ง” มีแนวทาง ดังนี้

1) จัดให้มีการอบรมผู้นำชุมชน คณะกรรมการหมู่บ้าน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ความรู้วิธีการคัดแยกขยะ วัสดุรีไซเคิล ขยะอินทรีย์ และขยะอันตราย

2) จัดให้มีการอบรมครูในโรงเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเรื่อง การบริหารจัดการขยะในครัวเรือนและการแยกขยะก่อนทิ้ง เพื่อให้ถ่ายทอดความรู้แก่นักเรียน และให้นักเรียนนำไปถ่ายทอดให้กับผู้ปกครอง และนำไปปฏิบัติในหมู่บ้าน/ชุมชน

3) จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการนำ “ขยะบรรจุภัณฑ์”กลับมาใช้ใหม่ อย่างน้อย 4 ครั้ง ต่อปี มีการ คัดแยกขยะ โดยการส่งเสริมให้มีการคัดแยกขยะในหน่วยงาน เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป เช่น การทำปุ๋ย จากขยะอินทรีย์ (ขยะเป็นปุ๋ย) ผ้าป่าขยะรีไซเคิล ขยะแลกไข่ ธนาคารขยะชุมชน ธนาคารขยะโรงเรียน ศูนย์รีไซเคิลชุมชน หรือกลุ่มการแปรรูป ผลิตภัณฑ์รีไซเคิล เป็นต้น

4) สถานศึกษาและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ในสังกัด อปท.และโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ตลอดจนสถาบัน การศึกษาในพื้นที่ จัดกิจกรรมให้ความรู้ 3 Rs หรือ 3 ช. ให้แก่เด็กนักเรียน และนักศึกษา เช่น วิธีการลดปริมาณขยะและคัดแยกขยะ การนำขยะมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้มีการอำนวยความสะดวกให้แก่โรงเรียนสถานศึกษา วัด หรือหน่วยงานราชการในพื้นที่ โดยการจัดตั้งภาชนะรองรับแบบแยกประเภท เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการคัดแยกขยะ

5) สนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมให้ผู้คัดแยกขยะมูลฝอยรายย่อย เช่น ซาเล้ง ร้านค้าของเก่า เครือข่ายชุมชน เข้ามาบริการในหมู่บ้าน/ชุมชน จัดตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการขยะมูลฝอยชุมชน

6) มีการกำหนดแผนงาน/โครงการปรับปรุงสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยให้มีความถูกต้องตามหลักวิชาการร่วมกัน หรือร่วมกันกำหนดวิธีการกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกต้อง โดยคำนึงถึงการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากสถานที่กำจัดขยะที่ไม่ถูกต้อง เพื่อรองรับการดำเนินงานในปี 2568 ต่อไป

เหล่านี้ล้วนเป็นบทบาทและหน้าที่ของแต่ละภาคส่วนที่ต้องดำเนินงานร่วมกันในด้านการจัดการขยะกับโรงเรียนหรือสถานศึกษา เพื่อพัฒนาบทบาทร่วมกันแบบบูรณาการ ดังรูปที่ 1 โดยที่อปท.ทั้งในส่วนกองช่าง กองสาธารณสุข และกองศึกษา ทำงานร่วมกัน และนำข้อมูลที่ได้ส่งผ่านไปยังอำเภอเพื่อประชาสัมพันธ์ หรือส่งเสริมการจัดอบรมครูและผู้บริหารจากผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการในท้องถิ่น ยกระดับศักยภาพบุคลากร และรวบรวมข้อมูลเสนอต่อจังหวัด ซึ่งจังหวัดจะสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน การลดปริมาณขยะและลดคาร์บอนระดับจังหวัด รวมถึงการสนับสนุนการจัดประกวดโรงเรียนปลอดขยะระดับจังหวัด

ข้อมูลเชิงปริมาณของการลดของเสียในโรงเรียน

ผ่านอำเภอไปยังจังหวัด

จังหวัดสะอาด

รูปที่ 1 ระบบการจัดการขยะที่ทำเป็นขบวนการร่วมกันระหว่าง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน เอกชน (ร้านรับซื้อของเก่า) และชุมชน สู่จังหวัดสะอาด

3. การดำเนินงานเพื่อให้เกิดขบวนการปฏิบัติงานร่วมกัน

1) การประสานงานกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

การทำงานในระดับการปกครองส่วนท้องถิ่น การทำงานด้านการจัดการขยะจะเน้นในเรื่องของการ เก็บขน และการรักษาความสะอาด ทำให้ส่วนที่รับผิดชอบหลักจะเป็นกองช่างหรือกองสาธารณสุข แต่กองการศึกษาไม่ค่อยมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการพัฒนาความร่วมมือกับทางโรงเรียนมากนักในด้านการจัดการขยะ ทั้งที่ทำงานกับโรงเรียนโดยตรง และมีหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก เช่น งานบริหารการศึกษางานพัฒนาการศึกษา ทั้งในระดับการศึกษาปฐมวัย อนุบาลศึกษาปฐมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา งานบริหารวิชาการด้านการศึกษา งานขยายโอกาสทางการศึกษา งานฝึกและส่งเสริมอาชีพ งานส่งเสริมคุณภาพและมาตรฐานหลักสูตร งานพัฒนาสื่อเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการศึกษา งานการศาสนา บำรุงศิลปะ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรม อันดี งานกิจกรรมเด็กเยาวชน งานส่งเสริมสวัสดิการ และกองทุนเพื่อการศึกษา งานบริหารงานบุคคลครู ลูกจ้าง และพนักงานจ้างสังกัดสถานศึกษา กรณียังไม่จัดตั้งกองการเจ้าหน้าที่ งานบริการข้อมูลสถิติ ช่วยเหลือให้คำแนะนำทางวิชาการ งานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและที่ได้รับมอบหมาย เป็นต้น ซึ่งสามารถผนวกการรวบรวมข้อมูลปริมาณขยะที่ลดลงได้จากโรงเรียน ซึ่งปริมาณและรูปแบบการจัดการขยะภายใต้การดำเนินงานของธนาคารขยะและกิจกรรมของโรงเรียน ควรจัดส่งให้กองการศึกษาในการเก็บรวบรวม ทั้งนี้รูปแบบอาจจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกแบบกระดาษ กรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ หรือแอพพลิเคชั่น ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน และกองการศึกษาจะนำไปสู่การได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะต้องมีการพิจารณาร่วมกับ ฝ่ายเก็บขนด้วยว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ หรือมีการลงพื้นที่ในการตรวจสอบสถานการณ์โรงเรียนร่วมกันกับกองช่างหรือกองสาธารณสุข และร่วมหารือกับผู้บริหารโรงเรียนต่อไป ในการกำหนดเป้าหมายและทิศทางการลดขยะของท้องถิ่นได้

2) บุคลากรในโรงเรียนมีความตระหนักรู้ นำไปสู่ขับเคลื่อนจริง

โรงเรียนคือองค์กรที่มีศักยภาพที่สามารถขับเคลื่อนกลไกการจัดการขยะซึ่งสามารถขยายผลสู่ครอบครัวและสังคมในระดับที่ใหญ่ขึ้นได้ การแทรกสอดองค์ความรู้การจัดการขยะในแต่ละรายวิชาอาจจะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา อาจเป็นรูปแบบของการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน โดยการทดลองการใช้วัสดุจากขยะเหลือใช้ในพื้นที่หรือในโรงเรียน การสร้างฐานความรู้เพื่อสร้างความพร้อมในการใช้ประโยชน์ภายในโรงเรียน และการแลกเปลี่ยนความรู้ให้บุคคลภายนอกเข้ามาดูงาน โดยสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนระหว่างโรงเรียน ทำให้เกิดการบรรลุผลอย่างแท้จริง การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในโรงเรียนจึงเป็นส่วนสำคัญของการสร้างระบบ เมื่อโรงเรียนทราบแล้วว่าจะต้องแจ้งข้อมูลทางสถิติในเรื่องของการลดหรือรีไซเคิลปริมาณขยะให้แก่ท้องถิ่น ดังนั้น การรู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบรวมถึงการสร้างระบบภายในองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม จะสร้างผลลัพธ์ต่อการลดขยะในพื้นที่ได้ โดยมีรายละเอียดของหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้

ผู้บริหาร เป็นผู้มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการผลักดันนโยบายจนถึงการติดตามตรวจสอบ ซึ่งต้องเริ่มจากการกำหนดนโยบายและแผนงาน วางแผนการจัดการขยะ สร้างแผนการแยกขยะอย่างชัดเจน กำหนดบทบาทหน้าที่ มอบหมายหน้าที่ให้คณะครู นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนรับผิดชอบตามความเหมาะสม สร้างระบบการจัดการขยะ และจัดสรรงบประมาณที่สอดคล้องกับระบบที่สามารถทำได้จริง เช่น ถังขยะ เครื่องชั่ง และอุปกรณ์อื่นๆ อีกทั้งยังต้องมีการติดตามและประเมินผล ตรวจสอบระบบประเมินประสิทธิภาพของการจัดการขยะในโรงเรียนเป็นประจำ ใช้ข้อมูลปริมาณขยะที่ลดลง ที่ได้รวบรวมมาจากคณะทำงานมานำเสนอและชี้แจงต่อกับผู้ปกครองและชุมชน ให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือไปในทิศทางเดียวกัน และเชื่อมโยงกับองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เกิดกระบวนการถ่ายทอดความรู้หรือแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างกลไกการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (รูปที่ 2) เช่น การทำความเข้าใจกับพื้นที่เช่า การใช้บรรจุภัณฑ์ของแม่ค้า การเลือกสินค้าเพื่อวางขายในสหกรณ์ ขอความร่วมมือพ่อค้าหน้าโรงเรียน เป็นต้น

รูปที่ 2 ตัวอย่างผลลัพธ์จากการที่มีข้อตกลงกับพื้นที่เช่า โดยการให้แม่ค้าตักไอศกรีมลดบรรจุภัณฑ์ และร้านขนมใส่กล่องพร้อมขายและใส่จานส่งเสริมการใช้ซ้ำในพื้นที่เช่า

ที่มา: มงคลชัย อัศวดิษฐเลิศ

ครู ควรเป็นการทำงานที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม มีคณะทำงาน แบ่งหน้าที่ชัดเจน มุ่งเน้นในการแทรกสอดความรู้ด้านการจัดการขยะในการบูรณาการเรียนรู้ในห้องเรียน (ตารางที่ 1) ทั้งรูปแบบของ การบ้าน เกม กิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมจำลอง การยกตัวอย่างในโจทย์ การใช้สื่อการเรียนรู้ จัดทำหรือจัดหาโปสเตอร์ สื่อวิดีโอ หรือรูปแบบอื่นที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการขยะให้เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัย รวมไปถึงการใช้ศิลปะในการนำเอาของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ทดแทนการใช้วัสดุใหม่เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน เช่น การฝึกลงสีในวิชาศิลปะเพื่อเป็นสื่อสำหรับการเรียนรู้ในวิชาคณิตศาสตร์และมีการใช้จริงในโรงเรียน เป็นต้น อีกทั้งยังต้องสร้างความตระหนักให้นักเรียนเข้าใจถึงปัญหาและให้ความร่วมมือกับโรงเรียนและขยายผลไปสู่ครัวเรือน คณะครูควรมีการแลกเปลี่ยน ถกปัญหาและถอดบทเรียน เมื่อได้ข้อมูลทางสถิติที่รวบรวมและสรุปมา ซึ่งรวบรวมจากธนาคารขยะ หรือจากแม่ครัวหรือนักการ เพื่อปรับแนวทางการทำงานร่วมกับผู้บริหาร สู่การสร้างแนวปฏิบัติ ที่เหมาะสมกับโรงเรียน และเป็นต้นแบบที่ดีให้กับนักเรียน ให้ความร่วมมือกับระบบการจัดการของโรงเรียน ทุกท่าน นอกจากนี้ ครูสหกรณ์จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ ในการคัดเลือกของที่นำเข้ามาขาย โดยลดของเสียที่เกิดขึ้นจากสหกรณ์ให้ได้ หรือถ้าไม่ได้ของเสียที่เกิดขึ้นต้องขายได้ (รีไซเคิลได้)

ตารางที่ 1 ตัวอย่างการบูรณาการการจัดการขยะที่ครูสามารถแทรกความรู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้

รูปที่ 3 พีระมิดแห่งการเรียนรู้ เพื่อปรับใช้ในการให้เกิดการเรียนรู้จากการลงมือทำ

ที่มา แผนกวิชาการระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฝ่ายการศึกษา อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ. (2564)

ในการส่งเสริมการรับรู้ของนักเรียนตามระบบการจัดการขยะของโรงเรียนที่มีการกำหนดขึ้น จะใช้แนวทางการรับรู้ในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าวิธีว่ากล่าวตักเตือน (ดังรูปที่ 3) คือ การรับรู้ด้วยตนเอง คือพูดและ ลงมือทำเอง ผ่านการเลือกความรู้การจัดการขยะมาพูดในกิจกรรมเสียงตามสายในช่วงเช้าหรือกลางวัน หรือการพูดหน้าเสาธง บีบขวดน้ำรีไซเคิลก่อนกลับบ้าน เป็นต้น ในขณะเดียวกันสามารถนำตัวอย่างของเด็กคนอื่น ที่ประสบความสำเร็จมาเล่าให้ฟัง และชื่นชมเด็กให้รับรู้ทั้งโรงเรียน เพื่อเป็นกำลังใจในการทำความดี และเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กคนอื่น ๆ

นักเรียน เป็นกลไกสำคัญเพราะเป็นบุคคลที่สร้างขยะมากที่สุดในโรงเรียน ต้องให้ความร่วมมือ ในระบบการจัดการขยะของโรงเรียน นักเรียนส่วนใหญ่จะได้รับการสนับสนุนอาหารทั้ง 2 มื้อ (มื้อเช้าและมื้อกลางวัน) และนมโรงเรียน มาตรการที่สามารถดำเนินการร่วมกันนักเรียนได้ในมื้ออาหาร คือ การประชาสัมพันธ์ให้ตักแต่พอทาน สิ่งไหนไม่ทานสามารถบอกได้ ทานอาหารให้หมด ช่วยแยกน้ำออกจากขยะ เช่น เทน้ำทิ้ง ออกจากขวดก่อนทิ้งในถังรีไซเคิล เอาซุปออกจากเศษอาหาร ล้างพับกล่องนม แยกขยะให้ถูกประเภท เป็นต้น นักเรียนอาจได้รับคัดเลือกจากครูให้เป็นแกนนำกลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อมในการหมุนเวียนดูแลเพื่อนนักเรียนในการทิ้งขยะให้ถูกต้องในเวลาพัก การเป็นแกนนำฐานความรู้เพื่อให้ความรู้แก่เพื่อนหรือผู้มาเยี่ยมชมโรงเรียน รวมถึงการงดการนำขยะประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งเข้ามาในโรงเรียน เช่น ถุงใส่ขนม อาจจะเลือกใช้เป็นกล่องอาหาร ที่ใช้ซ้ำได้ ให้ความร่วมมือในการนำแก้วน้ำส่วนตัวมาใช้ ซึ่งต้องสื่อสารกับผู้ปกครองด้วย ท้ายที่สุดแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ จะต้องนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความเคยชิน ดังรูปที่ 4

รูปที่ 4 การให้ความร่วมมือของนักเรียนที่เกิดจากการที่โรงเรียนมีมาตรการและระบบการจัดการขยะ เช่น การใช้แก้วน้ำส่วนตัว (ก) การรวบรวมกล่องนม (ข) การมีฐานความรู้โดยมีเด็กเป็นแกนนำ (ค) และการลดปริมาณอาหารเหลือทิ้ง (ง-ฉ)

ที่มา: มงคลชัย อัศวดิษฐเลิศ และภัทรมาศ เทียมเงิน

แม่ครัวและการเตรียมอาหารในห้องครัว แม่ครัวและลูกมือเป็นการจ้างเพื่อทำอาหารรองรับนักเรียน ในบางโรงเรียนมีหน้าที่ครอบคลุมเรื่องของจัดหาวัตถุดิบ โรงเรียนจะต้องทำความเข้าใจกับกลุ่มแม่ครัวว่าจะมีการคัดแยกขยะ ตามประเภทต่างๆโดยให้ความสำคัญกับขยะอินทรีย์ และบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ การตกลงในเรื่องของรายได้จากขยะส่วนนี้เป็นของใคร และให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียน ร่วมสะท้อนปัญหากับคณะครูในการสังเกตว่าห้องไหนทานเหลือเยอะ (บางโรงเรียนส่งเป็นชุดเพื่อตักในห้อง บางโรงเรียนใส่ถาดไว้แล้ว) อาหารประเภทใดที่เหลือทิ้งเยอะ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาโดยหลีกเลี่ยงเมนูดังกล่าว หรือปรับเปลี่ยนเป็นระบบ ตักในห้องแทน ก็สามารถลดขยะอินทรีย์ได้ ลดค่าใช้จ่ายค่าวัตถุดิบ หรือเพิ่มคุณภาพอาหารได้มากขึ้น อีกทั้งอาจจะต้องให้ความร่วมมือกับเกษตรกร ผู้ผลิตปุ๋ย หรือหน่วยงานที่เข้ามาขอรับบริจาคเศษอาหารเพื่อเป็นอาหารสัตว์ เช่น เอาส่วนของน้ำออกจากขยะอินทรีย์ หรือขยะจากวัตถุดิบที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุกในการนำไปทำปุ๋ยของโรงเรียนแทน การเตรียมอาหารส่วนเกินให้แก่นักเรียนที่มีปัญหาด้านการเงิน

นักการ เป็นบุคลากรที่มีส่วนสำคัญในการรักษาความสะอาดและดูแลพื้นที่ส่วนกลาง อาจจะเป็นทั้งพนักงานประจำหรือการจ้าง ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาด้านภาระงานที่จะดูแลประจำจุดต่าง ๆ โดยมักจะชอบ ให้มีการทิ้งถังเดียวเพราะลดภาระงานได้มากกว่ามีหลายถังหรือหลายจุด ดังนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับนักการถึงประโยชน์จากการจัดการขยะ เช่นในกรณีที่โรงเรียนไม่มีตู้กดน้ำดื่ม และมีการจำหน่ายน้ำดื่ม ในรูปแบบต่าง ๆ ควรมีจุดทิ้งน้ำแข็งหรือน้ำก่อนทิ้งขยะทั่วไป มีถังระบุประเภทขยะชัดเจน จุดเก็บอาจจะ มากขึ้นแต่พอแยกประเภทมากขึ้น ปริมาณขยะทั่วไปอาจจะเบาขึ้น หรือจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อมต่อการทำงาน เช่น ถุงขยะ รถเข็น ตาชั่งตามจุดต่างๆ เป็นต้น รวมถึงจัดตารางสลับเวลาทำงาน ให้บทบาทของนักการในการรวมรวมสถิติของขยะทั่วไปอาจจะอยู่ในรูปแบบของปริมาตร หรือน้ำหนัก แล้วแต่ทางระบบโรงเรียนวางแผนไว้ รวมถึงการคัดแยกขยะอันตรายและขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง และควรต้องให้การ ชื่นชม ให้การสนับสนุนงบประมาณ และให้ความสำคัญแก่นักการโดยให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานเสมอ

เมื่อทุกท่านมีความพร้อมทางด้านความรู้แล้ว จำเป็นต้องสร้างระบบทำงานร่วมกันภายใต้การลดการใช้ซ้ำ และนำกลับมาใช้ใหม่ โดยสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อระบบ เช่น งบประมาณ วัสดุ และถังขยะที่เพียงพอ เป็นต้น มีการติดตามตรวจสอบ วิเคราะห์ปัจจัยที่ประสบความสำเร็จ และถอดบทเรียนที่เกิดขึ้นและแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก เช่น นักวิชาการในท้องถิ่น นักวิชาการของเทศบาล และภาคเอกชนในท้องถิ่น หรือเอกชนภายนอกที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นต้น

3) การมีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือสามฝ่าย ให้ปลายทางสู่การรีไซเคิลเกิดขึ้นจริง

เมื่อขบวนการลดและแยกขยะพร้อมแล้ว หากบอกให้แยกแต่ขยะยังไม่นำไปสู่การรีไซเคิลจริง จะนำไปสู่ความล้มเหลวของระบบ ดังนั้นปลายทางของขยะรีไรเคิลต้องมีแนวทางชัดเจน หาปลายทางผู้ใช้ประโยชน์ ให้เข้ามามีส่วนร่วม เช่น ซาเล้ง ร้านรับซื้อของเก่าในพื้นที่ โดยเทศบาลอาจจะให้ความช่วยเหลือประสานงานการรับซื้อเข้ามาในพื้นที่ รวมถึงร่วมกันหาทางออกกับขยะที่ไม่มีที่ไปหรือหาที่รับซื้อยาก เช่น ตกลงว่าจะรับซื้อหรือรับบริจาคในกลุ่มที่เป็นขยะกำพร้าจัดการยาก จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ร้านรับซื้อของเก่าในพื้นที่ มีปริมาณมากพอที่คุ้มค่าที่จะส่งไปยังอุตสาหกรรมปลายทางต่อไป ร้านรับซื้อจึงจะให้ความร่วมมือ และควรทำอย่างต่อเนื่อง ในบางที่อาจจะมีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างเทศบาล โรงเรียน และเอกชน รวมถึงการให้ร้านรับซื้อของเก่าเข้ามาให้ความรู้แก่คณะครูได้ด้วย ในการรับซื้อขยะที่มีความซับซ้อน เช่น ถุงพลาสติกประเภทต่าง ๆ ประเภทกระดาษต่าง ๆ เป็นต้น ผู้รับซื้อหรือผู้ใช้ประโยชน์ปลายทาง ต้องมีช่องทางการติดต่อเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกันระหว่างโรงเรียน ในกรณีที่จะต้องหาผู้รับซื้อรายใหม่

4) ให้โรงเรียนเป็นแหล่งบ่มเพาะความรู้ให้ชุมชน และครอบครัว

การสื่อสารเชิงให้ความรู้อย่างสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานวันสิ่งแวดล้อม งานวันวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ที่มีบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมงาน ต้องทำให้เห็นว่าโรงเรียนมีศักยภาพในลดขยะจริง ให้ความสำคัญ กับโครงการหรือกิจกรรมที่ทำ ใช้จำลองสถานการณ์ที่ทำให้เด็กเป็นแกนนำโดยสร้างกระบวนการทางความคิดแก่ผู้เยี่ยมชม ทำให้สร้างแรงจูงใจในการนำแนวคิดไปใช้ประโยชน์ในระดับครัวเรือน ซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่จะเป็นคนในชุมชนอยู่แล้ว และเมื่อมีโอการเข้าร่วมการประกวด การให้เด็กนักเรียนเป็นวิทยากรที่เกิดจากการปฏิบัติจริง เด็กจะมีความมั่นใจ และมีทักษะการเรียบเรียงความคิดและคำพูด เพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจได้โดยง่าย การพัฒนาความรู้และทักษะแก่เด็กอาจสามารถขยายผลต่อไปยังศาสนสถาน ชุมชน และครอบครัว ได้อีกด้วย

5) การเก็บข้อมูลทางสถิติ การสื่อสาร เพื่อใช้เป็นข้อมูลในระดับจังหวัด

การวิเคราะห์ข้อมูลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกิจกรรมที่นำไปสู่การลดการเกิดขยะ ธนาคารขยะ (ขยะที่มีการซื้อขาย) การใช้ประโยชน์จากของเสียในรูปแบบของการรีไซเคิล (เปลือกผลไม้และเศษอาหารเป็นปุ๋ยหรือเป็นอาหารสัตว์) การนำไปผลิตเป็นพลังงาน และปริมาณขยะทั่วไปที่ส่งกำจัด การเปรียบเทียบปริมาณขยะก่อนที่มีมาตรการดำเนินงานและหลังมีมาตรการอย่างจริงจัง มีผลเป็นอย่างไร อะไรคืออุปสรรค เพื่อนำไปสู่การร่วมกันพิจารณาในคณะทำงานว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ปรับอย่างไรจึงจะให้ผลลัพธ์ตามที่คาดไว้ โดยต้องมีสารสื่อสารในระดับภายในโรงเรียนเพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง และสามารถตั้งเป้าหมายในการลดในปีต่อ ๆ ไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งในด้านการลดการใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจหมุนเวียน การผลิตเป็นพลังงาน (ถ้ามี) การคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจก และการสร้างเครือข่ายเอกชนที่รับขยะรีไซเคิลจากโรงเรียนในพื้นที่ที่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ทั้งที่เป็นร้านรับซื้อของเก่าที่มีการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนก็ตาม และเมื่อมีศักยภาพในการลดของเสีย หน่วยงานภายนอกก็จะให้การสนับสนุนมากยิ่งขึ้น และข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์หากมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรม ตรวจสอบได้ ทำให้ข้อมูลเหล่านี้น่าเชื่อถือ โดยจังหวัดเองควรพัฒนาฐานข้อมูลที่ทำให้แหล่งกำเนิดขยะแหล่งอื่น ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมให้ข้อมูลได้ กรณีที่ทางกรุงเทพมหานครได้มีเครือข่ายการทำงานร่วมพัฒนาระบบฐานข้อมูลจะมีแสดงในพื้นที่ต้นแบบ (รูปที่ 5)

6) มาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในอนาคต

ในอนาคตควรต้องมีมาตรการอื่นที่เหมาะสมมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในด้านการลดการเกิดปริมาณขยะ และการรีไซเคิลมากขึ้น เช่น

1) การให้ความสำคัญในด้านการลดการเกิดขยะมากขึ้น และควรเน้นการสร้างระบบการจัดการที่สมบูรณ์มากกว่าการคัดแยกก่อนทิ้ง ในแผนจังหวัดสะอาด

2) อำเภอควรสนับสนุนฐานข้อมูลเกษตรกรที่สามารถนำขยะอินทรีย์ไปใช้ประโยชน์ได้

3) การมีส่วนร่วมของกองการศึกษากับโรงเรียนมากขึ้นในด้านการจัดเก็บข้อมูลการลดปริมาณขยะ จากกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน ในการแทรกสอดและบูรณาการความรู้การจัดการขยะ โดยที่ไม่ได้ทำให้คุณภาพทางวิชาการลดลง และส่งต่อไปยังระดับจังหวัดได้

4) การเพิ่มการเรียกคืนบรรจุภัณฑ์นม ในปัจจุบันนมที่แจกให้กับนักเรียนนั้นมีการกำกับตั้งแต่ดูแลผลิตจนถึงการขนส่งแต่ยังไม่ได้ดูแลถึงการเรียกคืนกลับ เพื่อให้โรงเรียนมีหน้าที่รวบรวม ในส่วนของการกำจัดอาจจะส่งให้ทางเทศบาลจัดเก็บหรือจำหน่ายในกรณีที่โรงเรียนไม่มีแหล่งจำหน่าย ประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๗ ซึ่งจะสอดคล้องกับหนังสือเรียนที่ควรมีระบบรวบรวม เพื่อเข้าสู่การรีไซเคิล เช่น การประมูลในโรงเรียนขนาดใหญ่ หรือเทศบาลรวบรวมเพื่อจำหน่ายแก่ร้านรับซื้อในพื้นที่ แต่หากมีการขอรับบริจาคควรให้ความสำคัญในส่วนนี้ก่อน

5) ควรลดความเลื่อมล้ำค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเก็บขนกำจัดขยะอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งในโรงเรียนเทศบาล โรงเรียนในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และโรงเรียนเอกชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดกลไกการลดขยะในระดับเมือง

6) รูปแบบการรายงานปริมาณในหน่วยน้ำหนักขยะต่อคนต่อวัน (คน หมายรวมถึง ทุกท่านที่ทิ้งขยะ ในโรงเรียน ไม่ใช่แค่นักเรียน) เพื่อสร้างเป็นแผนหรือเป้าหมาย จะทำให้ง่ายต่อการวัด เปรียบเทียบและประเมินผล โดยขนาดของโรงเรียนไม่ควรเป็นข้ออ้างต่อการพัฒนาการลดปริมาณขยะต่อหัว หรือถ้าจำเป็นอาจจะแบ่งเป็นช่วงในโรงเรียน ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ เพื่อเป็นค่าเปรียบเทียบในแต่ละขนาดได้

4. บทสรุป

การดำเนินงานของโรงเรียน หากจะจัดการขยะโดยไม่มีความร่วมมือจากส่วนอื่น จะดำเนินงานได้โดยยาก ดังนั้น ควรมีความร่วมมืออย่างจริงจังทั้งสามฝ่ายแบบบูรณาการ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (รวมถึงชุมชน) โรงเรียน และภาคเอกชน (ซาเล้ง ร้านรับซื้อของเก่า โรงงานอุตสาหกรรม เอกชนทั้งนอกและ ในพื้นที่ ผ่านกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร จึงจะสามารถขับเคลื่อนได้โดยง่ายในมาตรการจังหวัดสะอาด นอกจากนี้มาตรการระดับโลกในด้านการลดโลกร้อน และเศรษกิจหมุนเวียน เป็นแรงกดดันต่อภาคการลดการใช้ทรัพยากรเพื่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการขานรับจากประเทศ ในการเสริมสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ และการสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ล้วนทำให้โรงเรียนต้องส่งเสริมการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างวินัยการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ BCG ทำให้โรงเรียนมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้แก่ภาคครัวเรือน ในการปรับตัวให้ตอบสนองนโยบายที่มุ่งสู่การลดปริมาณขยะลง อีกทั้งยังมีกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือปรับปรุงที่ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อสอดรับกับกฎหมายเหล่านี้ ทำให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัดอย่างยั่งยืน

กิตติกรรมประกาศ

โรงเรียนในสำนักงานเขตหนองแขม สำนักงานเขตหนองแขม โรงเรียนเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี โรงเรียนในเขตเทศบาลนครสงขลา และโครงการพัฒนาเขตนำร่องการจัดการขยะมูลฝอยที่ต้นทาง อย่างยั่งยืนในกรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษาเขตปทุมวัน เขตพญาไท และเขตหนองแขม ได้รับทุนสนับสนุนจากสํานักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ และโครงการ Plastic Smart City ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล

__________________________________________________________________________________________________________

เอกสารอ้างอิง

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. (2567). แผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ประจำปี พ.ศ.2567. https://www.dla.go.th/upload/document/type2/2567/3/31009\_2\_170928 8035087.pdf

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. (2563). ประกาศกท. เรื่อง มาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ วิธีการบริหารและการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาล และกิจการอันเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลในเทศบาล (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๓. https://www.dla.go.th/upload/document/ type2/2020/12/24638_1_1608009960181.pdf

แผนกวิชาการระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฝ่ายการศึกษา อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ. (2564). การประยุกต์ใช้ Active Learning ในการเรียนการสอน. http://bit.ly/4i7tKqX

สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์. กรมปศุสัตว์. ประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2567. https://biotech.dld.go.th/webnew/index.php/th/2019-07-18-03-08-13/393-milk2567

โครงการพัฒนาเขตนําร่องการจัดการขยะมูลฝอยที่ต้นทางอย่างยั่งยืนในกรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษาเขตปทุมวัน เขตพญาไท และเขตหนองแขม โดย สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับกรุงเทพมหานคร. https://bkkzerowaste.org/statistics


บทความอื่นๆ

Read More

บทความ: โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล การปรับตัวสู่การผลิตที่ปลอดภัยและยั่งยืน

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์