การประเมินคุณภาพน้ำดื่มจากตู้กดน้ำดื่มประเภทต่าง ๆ ในสถาบันการศึกษา

บทคัดย่อ

การบริโภคน้ำดื่มจากตู้กดน้ำดื่มที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอ อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของนักศึกษาและบุคลากรในสถาบันการศึกษา ดังนั้นการศึกษานี้จึงทำการประเมินคุณภาพน้ำดื่มจากตู้กดน้ำดื่มภาย ในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง โดยเก็บตัวอย่างน้ำดื่มจากจุดบริการต่าง ๆ รวม 29 ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์ค่าความขุ่น ความเป็นกรด-ด่าง ความกระด้างทั้งหมด โคลิฟอร์มแบคทีเรีย และอี. โคไล และเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ผลการศึกษาพบว่าตัวอย่างน้ำดื่มทั้งหมดมีค่าความขุ่นและความเป็นกรด-ด่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีตัวอย่างน้ำดื่มร้อยละ 10 ที่พบค่าความกระด้างทั้งหมดเกินเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อทำการสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำดื่มจำนวน 18 ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์คุณภาพน้ำทางจุลชีววิทยา พบว่าตัวอย่างน้ำดื่มร้อยละ 11 มีการปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และร้อยละ 22 พบการปนเปื้อนเชื้ออี. โคไล จากการประเมินสุขลักษณะของตู้กดน้ำดื่ม พบว่าตู้กดน้ำดื่มทั้งหมดยังไม่ถูกสุขลักษณะในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องสถานที่ตั้ง การควบคุมคุณภาพมาตรฐานน้ำบริโภค การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด ดังนั้น สถาบันการศึกษาจึงควรมีแนวปฏิบัติในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำดื่ม เพื่อให้นักศึกษาและบุคลากรได้ดื่มน้ำที่สะอาดและปลอดภัย


1. ความสำคัญและที่มาของปัญหา

น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกายมนุษย์ มนุษย์อาจไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากขาดน้ำติดต่อกัน 3 วัน นอกจากนี้น้ำยังเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ รวมทั้งการทำเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม แหล่งน้ำธรรมชาติมักมีสิ่งเจือปนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ เช่น การตกตะกอน การกรองด้วยระบบรีเวอร์สออสโมซิส การบำบัดด้วยโอโซน หรือแสงอัลตราไวโอเลต เพื่อให้ได้น้ำดื่มที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรค พยาธิ และสารเคมีที่เป็นพิษ หรือหากมีสารเจือปนต้องมีปริมาณที่เหมาะสมตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำบริโภค เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคจากน้ำเป็นสื่อซึ่งมักเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น โรคอุจจาระร่วงและโรคบิด เป็นต้น

ปัจจุบันสถานที่ราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ได้มีจุดบริการน้ำดื่มให้กับบุคลากรและผู้ที่มาติดต่องาน ซึ่งจุดบริการน้ำดื่มในแต่ละจุดอาจมีลักษณะและคุณภาพน้ำที่แตกต่างกัน จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าคุณภาพน้ำดื่มจากจุดบริการน้ำดื่มมักไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน โดยเฉพาะเกณฑ์มาตรฐานทางจุลชีววิทยา งานวิจัยที่ผ่านมาได้ศึกษาคุณภาพน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติในเขตเทศบาลแห่งหนึ่ง ผลการศึกษาพบว่าค่าความเป็นกรด-ด่าง ความกระด้าง และโคลิฟอร์มแบคทีเรียทั้งหมด อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำดื่ม ยกเว้นสถานีที่ 1 และ 5 ที่พบว่ามีปริมาณโคลิฟอร์มแบคทีเรียสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน (ไซนะ มูเล็ง และคณะ, 2560) การศึกษาคุณภาพน้ำดื่มจากจุดบริการน้ำดื่มภายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พบว่าคุณภาพน้ำทางกายภาพและทางเคมีผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำดื่ม ส่วนคุณภาพน้ำทางจุลชีววิทยาพบว่ามีจำนวน 7 จุดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำดื่ม และมีจำนวน 8 จุดที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางจุลชีววิทยา (ปิยวรรณ เนื่องมัจฉา และคณะ, 2561) นอกจากนี้ยังมีการศึกษาคุณภาพน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติในจังหวัดแห่งหนึ่ง โดยเก็บตัวอย่างน้ำดื่ม รวมทั้งสิ้น 133 ตัวอย่าง วิเคราะห์ด้วยชุดทดสอบคุณภาพน้ำดื่มภาคสนามของกรมอนามัย ผลการศึกษาพบว่าตัวอย่างน้ำดื่มไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางจุลชีววิทยา โดยพบโคลิฟอร์มแบคทีเรียร้อยละ 69 และพบแบคทีเรียที่ผลิตก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ร้อยละ 3 ในด้านกายภาพและเคมี ไม่พบคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำทุกตัวอย่าง พบค่าความกระด้างเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ร้อยละ 3 ในด้านความเป็นกรด-ด่าง พบว่าไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ร้อยละ 13 โดยมีตัวอย่างน้ำที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง น้อยกว่า 6.5 ร้อยละ 11 ค่าความเป็นกรด–ด่าง มากกว่า 8.5 ร้อยละ 2 และมีตัวอย่างน้ำที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกด้าน คิดเป็นร้อยละ 26 (ธนพงศ์ ภูผาลี, 2561)

สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง มีการบริการตู้กดน้ำดื่มในอาคารต่าง ๆ รวมทั้งหมด 29 จุด โดยเป็นตู้น้ำดื่มแบบถังคว่ำจำนวน 16 จุด ตู้น้ำดื่มแบบถังสแตนเลสที่ต่อกับเครื่องกรองน้ำระบบ Reverse Osmosis (RO) จำนวน 5 จุด ตู้น้ำดื่มแบบถังบรรจุน้ำดื่มวางด้านล่างจำนวน 5 จุด และตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญจำนวน 3 จุด จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าตู้กดน้ำดื่มส่วนใหญ่มีสุขลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น ตั้งอยู่ใกล้กับถังขยะ พบความสกปรกภายในตู้ พบตะไคร่น้ำในตู้กดน้ำและเครื่องกรองน้ำ รวมทั้งไม่พบข้อมูลการตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่ม โดยน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มอัตโนมัติ ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐานเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ตามข้อกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 362) พ.ศ. 2556 เรื่อง น้ำบริโภคจากตู้น้ำดื่มอัตโนมัติ (กระทรวงสาธารณสุข, 2556) ซึ่งหากนักศึกษาและบุคลากรดื่มน้ำที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานดังกล่าว อาจมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคจากน้ำ เป็นสื่อ

ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะศึกษาคุณภาพน้ำดื่มจากตู้กดน้ำดื่มทั้ง 29 จุด และประเมินสุขลักษณะของตู้กดน้ำดื่ม โดยทำการวิเคราะห์คุณภาพน้ำทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ รวม 5 พารามิเตอร์ ได้แก่ ความขุ่น ความเป็นกรด-ด่าง ความกระด้างทั้งหมด แบคทีเรียประเภทโคลิฟอร์มทั้งหมด และแบคทีเรียประเภท อี. โคไล โดยนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 61) พ.ศ.2524 เรื่อง น้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท (กระทรวงสาธารณสุข, 2524) และที่แก้ไขเพิ่มเติม และข้อกำหนดตามคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข เรื่อง แนวทางการควบคุมการประกอบกิจการตู้น้ำหยอดเหรียญ พ.ศ.2553 (กระทรวงสาธารณสุข, 2553) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำดื่มและหาแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำดื่มในสถาบันการศึกษาต่อไป

2. วัตถุประสงค์

1) เพื่อศึกษาความขุ่น ความเป็นกรด-ด่าง ความกระด้างทั้งหมด แบคทีเรียประเภทโคลิฟอร์มทั้งหมด และแบคทีเรียประเภทอี. โคไล ในน้ำดื่มจากตู้กดน้ำดื่มในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลำปาง

2) ประเมินสุขลักษณะของตู้กดน้ำดื่มในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลำปาง

3. วิธีการศึกษา

ทำการเก็บตัวอย่างน้ำดื่มจากตู้กดน้ำดื่มประเภทต่าง ๆ จำนวน 29 ตัวอย่าง ดังข้อมูลในตารางที่ 1 โดยใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดที่หัวจ่ายน้ำ เปิดน้ำจากกู้กดน้ำทิ้งนาน 2-3 นาที เพื่อให้น้ำที่ค้างอยู่ในเส้นท่อไหลออกให้หมด จากนั้นทำการเก็บตัวอย่างน้ำและปิดฝาขวดเก็บตัวอย่างน้ำให้แน่น ติดฉลาก ก่อนนำขวดเก็บตัวอย่างน้ำแช่เย็นในถังน้ำแข็งเพื่อรักษาสภาพตัวอย่างก่อนนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ตารางที่ 1 จำนวนและจุดเก็บตัวอย่างน้ำดื่ม (n=29)

ประเภทตู้กดน้ำดื่มที่ทำการศึกษา แสดงดังรูปที่ 1 โดยประกอบด้วยตู้กดน้ำดื่มแบบถังคว่ำ จำนวน 16 ตู้ ตู้กดน้ำดื่มแบบถังแตนเลส จำนวน 5 ตู้ ตู้กดน้ำดื่มหยอดเหรียญ จำนวน 3 ตู้ และตู้กดน้ำดื่มแบบถังวางด้านล่าง จำนวน 5 ตู้

รูปที่ 1 (ก) ตู้กดน้ำดื่มแบบถังคว่ำ (ข) ตู้กดน้ำดื่มแบบถังแตนเลส (ค) ตู้กดน้ำดื่มหยอดเหรียญ และ (ง) ตู้กดน้ำดื่มแบบถังวางด้านล่าง

นำตัวอย่างน้ำดื่มมาวิเคราะห์ค่าความขุ่น ด้วยเครื่อง Turbidimeter วิเคราะห์ความเป็นกรด-ด่าง ด้วยเครื่อง pH meter วิเคราะห์ความกระด้างทั้งหมด ด้วยวิธี EDTA Titrimetric method วิเคราะห์ปริมาณโคลิฟอร์มแบคทีเรียและอี. โคไล ด้วยวิธี Multiple Tube Fermentation Technique ภาพรวมของการศึกษา แสดงดังรูปที่ 2

รูปที่ 2 วิธีการศึกษา

4. ผลการศึกษาและการอภิปรายผล

1) ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่ม

ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่ม จำนวน 29 ตัวอย่าง แสดงดังตารางที่ 2 โดยพบว่าตัวอย่างน้ำดื่มทั้งหมด มีค่าความขุ่นอยู่ในช่วง 0.05 - 0.43 NTU ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ตัวอย่างน้ำดื่มทั้งหมดมีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ในช่วง 6.44 - 7.92 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ตัวอย่างน้ำดื่มร้อยละ 90 มีค่าความกระด้างทั้งหมดเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน และมีตัวอย่างน้ำดื่มร้อยละ 10 ที่มีค่าความกระด้างไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน โดยพบความกระด้างทั้งหมดสูงสุด 122 mg/L as CaCO3 ทั้งนี้หากพิจารณาเกณฑ์มาตรฐานน้ำประปาภูมิภาค และค่าแนะนำคุณภาพน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก ปีค.ศ. 2022 ระบุค่าความกระด้างไม่เกิน 300 as CaCO3 หากเปรียบเทียบกับเกณฑ์ดังกล่าวนี้ถือว่าค่าความกระด้างของตัวอย่างน้ำดื่มเป็นไปตามเกณฑ์ นอกจากนี้ ความกระด้างไม่มีผลเชิงลบต่อสุขภาพ โดยการดื่มน้ำที่มีความกระด้าง เปรียบเสมือนการดื่มน้ำที่มีแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งแคลเซียมและแมกนีเซียม จะทำงานร่วมกันในการช่วยในการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อเนื้อหัวใจ การขาดแคลเซียมและแมกนีเซียมอาจทำให้หัวใจจะทำงานไม่ปกติได้

จากการสุ่มตัวอย่าง 18 จุด รวม 18 ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์หาโคลิฟอร์มแบคทีเรีย พบว่ามี 2 ตัวอย่าง (ร้อยละ 11) ที่มีการปนเปื้อนของโคลิฟอร์มแบคทีเรีย ได้แก่ ตัวอย่างน้ำดื่มจากอาคาร 12 ตู้ฝั่งขวา และตู้ฝั่งซ้าย มีค่าเท่ากับ 8 MPN/100 mL

จากการวิเคราะห์หาเชื้ออี. โคไลในตัวอย่างน้ำดื่มจำนวน 18 ตัวอย่าง พบว่ามี 4 ตัวอย่าง (ร้อยละ 22) ที่มีการปนเปื้อนเชื้ออี. โคไล ได้แก่ ตัวอย่างน้ำดื่มจากอาคาร 5 ฝั่งขวา มีค่าเท่ากับ 2 MPN/100 mL อาคาร 7 ชั้น 1 มีค่าเท่ากับ 2 MPN/100 mL อาคาร 12 ตู้ฝั่งขวา มีค่าเท่ากับ 5 MPN/100 mL และอาคาร 12 ตู้ฝั่งซ้าย มีค่าเท่ากับ 5 MPN/100 mL โดยการดื่มน้ำที่มีเชื้ออี. โคไล มากเกินไปอาจส่งผลให้มีอาการ ท้องเดิน ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้หรืออาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลียและมีไข้ต่ำได้

ตัวอย่างน้ำที่พบการปนเปื้อนของโคลิฟอร์มแบคทีเรียและเชื้ออี. โคไล เป็นตัวอย่างน้ำที่เก็บจากตู้น้ำดื่มแบบถังวางด้านล่าง และตู้น้ำดื่มแบบถังสแตนเลสที่ต่อกับเครื่องกรองน้ำระบบ Reverse Osmosis (RO) ซึ่งการปนเปื้อนอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การฆ่าเชื้อโรคที่ไม่เพียงพอในระหว่างการผลิตน้ำดื่ม การปนเปื้อนจากถังน้ำ การปนเปื้อนจากอุปกรณ์จ่ายน้ำของตู้กดน้ำดื่ม รวมถึงการไม่ได้บำรุงรักษาระบบ RO อย่างเหมาะสมหรือไม่มีการทำความสะอาดอย่างเพียงพอ

ผลการศึกษานี้มีความสอดคล้องกับผลการศึกษาที่ผ่านมาที่ได้ทำการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำทางจุลินทรีย์ในเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งพบการปนเปื้อนของ Bacillus cereus และ Staphylococcus aureus ในส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ เช่น ท่อน้ำเข้า และหัวจ่ายน้ำ (Venuti et al., 2024)

ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่ม

2) ผลการประเมินสุขลักษณะของตู้กดน้ำดื่ม

จากการสำรวจและประเมินสุขลักษณะของตู้กดน้ำดื่มตามคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข เรื่องแนวทางการควบคุมการประกอบกิจการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ พ.ศ. 2553 พบว่าสถานที่ตั้งของตู้น้ำดื่มทั้งหมด (ร้อยละ 100) ไม่ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานในเรื่องการตั้งอยู่ห่างจากบริเวณที่มีฝุ่นละออง นอกจากนี้ยังพบว่าตู้กดน้ำดื่มร้อยละ 7 มีตะไคร่น้ำและบริเวณโดยรอบสกปรก ตู้กดน้ำดื่มทั้งหมด (ร้อยละ 100) ไม่มีการสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำดื่มมาตรวจ และตู้กดน้ำดื่มร้อยละ 25 ไม่มีการล้างหรือเปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลาที่กำหนด (ตารางที่ 3)

ตารางที่ 3 ผลการประเมินสุขลักษณะของตู้กดน้ำดื่ม (n=29)

ตารางที่ 3 ผลการประเมินสุขลักษณะของตู้กดน้ำดื่ม (n=29) (ต่อ)

5. บทสรุปและข้อเสนอแนะ

จากการศึกษาคุณภาพน้ำดื่มจำนวน 29 ตัวอย่าง ภายในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งพบว่าตัวอย่างน้ำดื่มทั้งหมดมีค่าความขุ่นและความเป็นกรด-ด่างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ตัวอย่างน้ำดื่มร้อยละ 10 มีความกระด้างทั้งหมดเกินเกณฑ์มาตรฐาน (สูงสุด 122 mg/L as CaCO3) โดยเป็นตัวอย่างน้ำที่เก็บจากตู้กดน้ำที่ต่อจากเครื่องกรองน้ำ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าเครื่องกรองน้ำดังกล่าวอาจมีปัญหาในระบบกำจัดความกระด้าง ในน้ำ หรือน้ำประปาที่เข้ามาในระบบกรองน้ำมีความกระด้างสูง ตัวอย่างน้ำดื่มร้อยละ 11 มีการปนเปื้อนของ โคลิฟอร์มแบคทีเรีย 8 MPN/100 mL และมีตัวอย่างน้ำดื่มร้อยละ 22 ที่พบการปนเปื้อนของเชื้ออี. โคไลในช่วง 2-5 MPN/100 mL

จากการสำรวจสุขลักษณะตู้กดน้ำดื่ม พบว่า ตู้กดน้ำดื่มทุกจุดตั้งอยู่กับใกล้ถังขยะ บางตู้พบว่าอุปกรณ์ที่สัมผัสโดยตรงกับน้ำมีคราบสกปรกและตะไคร่น้ำ (ร้อยละ 7) นอกจากนี้ ยังไม่พบว่ามีการสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำจากตู้กดน้ำดื่มส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ (ร้อยละ 100) ไม่มีการตรวจสอบแบคทีเรียในน้ำดื่มโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย (ร้อยละ 100) รวมทั้งพบว่าบางตู้ไม่มีข้อมูลการล้างทำความสะอาดและเปลี่ยนไส้กรองตามระยะเวลาที่กำหนด (ร้อยละ 25)

ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มในสถาบันการศึกษา ดังนี้

(1) ควรจัดทำแผนการตรวจสอบสุขลักษณะตู้กดน้ำดื่มและการวิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่มประจำปี

(2) ควรย้ายที่ตั้งของตู้กดน้ำดื่มบางจุด ให้ห่างจากบริเวณที่มีฝุ่นละออง แหล่งระบายน้ำ และขยะมูลฝอยไม่น้อยกว่า 30 เมตร

(3) ควรมีผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบตู้กดน้ำดื่มทั้งภายนอกและภายใน รวมทั้งอุปกรณ์ที่สัมผัสโดยตรงกับน้ำ

(4) ควรมีผู้รับผิดชอบในการล้างทำความสะอาดถังเก็บน้ำภายในตู้ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

(5) ควรมีผู้รับผิดชอบในการสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำจากตู้น้ำตรวจสอบแบคทีเรียโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายตรวจสอบโคลิฟอร์มแบคทีเรีย (อ.11) อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

(6) ควรจัดตั้งงบประมาณในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำดื่มทางด้านกายภาพ เคมีและแบคทีเรีย อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

(7) ควรจัดตั้งงบประมาณในการเปลี่ยนไส้กรองน้ำทุกๆ 3–6 เดือน หรือเมื่อสังเกตเห็นว่าไส้กรองอุดตัน

กิตติกรรมประกาศ

ขอขอบคุณงบประมาณการวิจัยจากกองทุนค่าธรรมเนียมการศึกษาเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์

__________________________________________________________________________________________________________

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงสาธารณสุข. (2524). ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 61) พ.ศ. 2524 เรื่อง น้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท. สืบค้นจาก https://food.fda.moph.go.th/food-law/f2-drinking-water

กระทรวงสาธารณสุข. (2553). คำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข เรื่อง แนวทางการควบคุมการประกอบกิจการตู้น้ำหยอดเหรียญ พ.ศ. 2553. สืบค้นจาก https://laws.anamai.moph.go.th/th/recommendation/download/?did=193126&id=41435&reload=

กระทรวงสาธารณสุข. (2556). ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 362) พ.ศ. 2556 เรื่อง น้ำบริโภคจากตู้น้ำดื่มอัตโนมัติ. สืบค้นจาก https://food.fda.moph.go.th/food-law/f-na-drinking-water-vending-mac

ไซนะ มูเล็ง, จุฑามาศ แก้วมณี, ซันวานี จิใจ, และซูฟียัน เจ๊ะมิง. (2560). คุณภาพน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติในเทศบาลนครยะลา. ใน การประชุมวิชาการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติครั้งที่ 16 (หน้า 1–5). กรุงเทพมหานคร: สมาคมวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย.

ธนพงศ์ ภูผาลี, สมศักดิ์ อาภาศรีทองสกุล, อรนุช วงศ์วัฒนาเสถียร, และมาลี สุปันตี. (2561). คุณภาพและความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญอัตโนมัติในจังหวัดมหาสารคาม. วารสารเภสัชกรรมไทย, 10(2), 357–365.

ปิยวรรณ เนื่องมัจฉา, โสภนา วงศ์ทอง, พงศธร ปานทอง, และนพมาศ จงสวัสดิ์วัฒนา. (2561). การศึกษาคุณภาพน้ำดื่มจากจุดบริการน้ำภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช. วารสารวิชชา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, 37(1), 25–37.

Venuti, I., Ceruso, M., Muscariello, T., Vallone, C., Sarnelli, P., Varcasia, G. B., & Pepe, T. (2024). Safety and quality assessment of hot-drinks vending machines in Southern Italy. Food Control, 161, 110376. https://doi.org/10.1016/j.foodcont.2023.110376


บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

ขอบเขตของเนื้อหา

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารที่นำเสนอบทความวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ไม่เข้มข้นมากนัก เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคคลทั่วไป รูปแบบของการเขียนบทความเป็นในลักษณะดังนี้

  1. หากเป็นการนำเสนอความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัย ควรประกอบด้วย ความสำคัญและที่มาของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการศึกษาในรูปแบบของหลักการศึกษาพอสังเขป ผลการศึกษาพร้อมการอภิปรายผลผล สรุปนำเสนอความรู้ที่ได้จากการวิจัย
  2. หากเป็นบทความเชิงวิจารณ์ บทความวิชาการ ซึ่งเรียบเรียงจากความรู้ต่าง ๆ และ ผลงานวิจัยของผู้อื่น ควรประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ การวิเคราะห์และวิจารณ์ ซึ่งมีการนำเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมถึงแนวโน้ม หรือข้อดีและข้อเสีย หรือข้อสรุปอย่างชัดเจน

2

ความยาวของบทความ

ควรมีความยาวของบทความขนาดไม่เกิน 10 หน้า (รวมรูปภาพและตาราง) โดยการใช้ font ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 Single space

3

รูปในบทความ

ให้ส่งไฟล์รูปภาพ ที่มีขนาดรูปเท่าที่ต้องการนำเสนอจริง และมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi หรือ ไฟล์ภาพต้นฉบับ

  1. หากเป็นรูปที่นำมาจากแหล่งอื่นต้องอ้างอิงแหล่งที่มา
  2. หากเป็นรูปที่ถ่ายมาเอง ให้ระบุชื่อเป็นของผู้เรียบเรียงบทความ

4

การอ้างอิงทางบรรณานุกรม

กำหนดให้ผู้เขียนบทความใช้ระบบ APA 6th ed โดยการอ้างอิงในเนื้อหาเป็นแบบ “ผู้แต่ง, ปีพิมพ์” และมีวิธีการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง ดังนี้

  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http:/.....

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารที่ดูแลโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารสารนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในบริบทของประเทศไทยออกสู่สาธารณชน ครอบคลุมในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการเมือง การจัดการของเสียและขยะ การป้องกันและควบคุมมลพิษ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นโยบายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

สิ่งแวดล้อมไทยเผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถนำเสนองานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและระดับสากล วารสารนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้

สิ่งแวดล้อมไทย หรือในชื่อเดิม วารสารสิ่งแวดล้อม เริ่มเผยแพร่ในแบบรูปเล่มฉบับแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และเปลี่ยนการเผยแพร่เป็นรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยดำเนินการเผยแพร่วารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม และได้รับการจัดอันดับในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3 โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (PRINT) : 0859-3868 และ ISSN (ONLINE) : 2586-9248

ในปี พ.ศ. 2566 วารสารสิ่งแวดล้อมได้ปรับปรุงการเผยแพร่บทความ เพื่อมุ่งสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index; TCI) ที่สูงขึ้นในระดับ Tier 2 ซึ่งประกอบด้วย การปรับความถี่ในการเผยแพร่เป็น 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับปรุงการจัดส่งบทความจากเดิมที่เป็นการจัดส่งต้นฉบับทางอีเมล์ eric@chula.ac.th เป็นจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) พร้อมเพิ่มเติมขั้นตอนการประเมินบทความในลักษณะ Double blind review จากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่านก่อนการเผยแพร่ ซึ่งการประเมินจะมีความเข้มข้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นชื่อใหม่ของวารสาร เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2567 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI ซึ่งได้กำหนดให้วารสารต้องมีเลข ISSN ที่จดทะเบียนตามชื่อภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักสากล และเพื่อให้วารสารได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

สิ่งแวดล้อมไทย ISSN : 2686-9248 (Online)
ความถี่ในการเผยแพร่ : 2 เล่ม/ปี (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
ฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี : Thai-Journal Citation Index (TCI), Tier 3

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environment) เป็นวารสารที่เผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในบริบทของประเทศไทยออกสู่สาธารณชน โดยเนื้อหาครบคลุมทั้งในมิติของนโยบาย กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การจัดการ รวมถึงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ทางด้านสิ่งแวดล้อม หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับวารสารมีดังต่อไปนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การจัดการเมือง
  • การจัดการของเสียและขยะ
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
  • นโยบายสิ่งแวดล้อม
  • สิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

เกณฑ์หลักสำหรับการตีพิมพ์ คือ คุณภาพของข้อมูลและเนื้อหาที่เหมาะกับผู้อ่านทั่วไป

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

ณัฐพงศ์ ตันติวิวัฒนพันธ์
ภุมรินทร์ คำเดชศักดิ์

กองบรรณาธิการ

ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
บัวหลวง ฝ้ายเยื่อ
วิไลลักษณ์ นิยมมณีรัตน์
วัชราภรณ์ สุนสิน
ศีลาวุธ ดำรงศิริ
อาทิมา ดับโศก
กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย

ที่ปรึกษา

ปกฉัตร ชูติวิศุทธิ์

บทความที่ส่งมายังสิ่งแวดล้อมไทยต้องไม่เคยตีพิมพ์มาก่อนและต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในที่อื่น หลังจากส่งบทความ บทความนั้นจะถูกประเมินว่าตรงตามวัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้หรือไม่ บทความที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำทั้งหมดจะถูกประเมินโดยผู้ตรวจสอบอิสระอย่างน้อย 2 ท่านเพื่อประเมินคุณภาพของข้อมูลและการเขียนบทความ

วารสารนี้ใช้กระบวนการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดสองฝ่าย โดยบรรณาธิการเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความทั้งหมด และการตัดสินใจของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หลังจากที่ได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะถูกดำเนินการเพื่อการผลิตและการตีพิมพ์ ผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์บทความ และจะถูกขอให้โอนลิขสิทธิ์บทความให้กับผู้จัดพิมพ์ในระหว่างกระบวนการพิสูจน์อักษร นอกจากนี้ ทางวารสารจะมีการกำหนดหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) ให้กับบทความทั้งหมดที่กำหนดให้ตีพิมพ์ในฉบับ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผังด้านล่าง

สำหรับสำนักพิมพ์

สิ่งแวดล้อมไทยเป็นวารสารวิชาการที่เข้าใจถึงความสำคัญของจริยธรรมในการตีพิมพ์ทางวิชาการ ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ควรปฏิบัติตามแนวทาง “คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)” (https://publicationethics.org/) เครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ “อักขราวิสุทธิ์” จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจงหรือปฏิเสธ หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยทันที ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วารสารจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิโดยปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review) สำหรับต้นฉบับทั้งหมดที่วารสารได้รับ

สำหรับบรรณาธิการ

บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินบทความ กองบรรณาธิการประกอบด้วยหัวหน้ากองบรรณาธิการบริหาร และกองบรรณาธิการ โดยทั่วไปหัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ กองบรรณาธิการทำหน้าที่ในการเชิญผู้ประเมินเพื่อพิจารณาบทความซึ่งจะเรียกว่าบรรณาธิการประจำบทความ และอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย กองบรรณาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาการวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามหัวข้อต่าง ๆ ของวารสาร จากขอบเขตการวิจัยของต้นฉบับที่ส่งมา หัวหน้าบรรณาธิการจะมอบหมายต้นฉบับให้กับกองบรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการประจำบทความมีหน้าที่ส่งต่อต้นฉบับให้กับผู้ประเมินที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม และจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการพิจารณษบทความที่มีศักยภาพในการตีพิมพ์ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการตีพิมพ์ บรรณาธิการวารสารทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

  • บรรณาธิการจะต้องยึดถือหลักจริยธรรมในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับวารสาร
  • บรรณาธิการจะต้องเลือกผู้ประเมินที่มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องและไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับผู้เขียนต้นฉบับ
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ประเมินให้ผู้เขียนทราบ และในทางกลับกัน
  • บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ จากต้นฉบับก่อนตีพิมพ์
  • ข้อมูลหรือความคิดเห็นของผู้ประเมินจะต้องเก็บเป็นความลับและไม่ควรนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

สำหรับผู้แต่ง

ผู้เขียนต้นฉบับควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อต้นฉบับ รวมถึงแนวความคิด การค้นคว้า การออกแบบการศึกษา การวิเคราะห์และให้บทสรุป และการเขียน นอกจากนี้ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

  • ต้นฉบับจะต้องไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ก่อนที่จะส่งมายังสิ่งแวดล้อมไทย ผลลัพธ์บางส่วนที่รายงานในต้นฉบับที่ส่งมาได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการ จะต้องระบุและนำเสนอเป็นหมายเหตุในต้นฉบับ
  • ผู้เขียนสามารถส่งต้นฉบับไปยังวารสารอื่นได้เฉพาะเมื่อต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยวารสารเท่านั้น
  • ผู้เขียนจะต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับแล้ว
  • ผู้เขียนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนการลอกเลียนแบบ
  • เป็นหน้าที่ของผู้เขียนในการตอบสนองต่อความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมดของผู้วิจารณ์ หากผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นใด ๆ ของผู้วิจารณ์ ผู้เขียนควรให้คำอธิบาย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบรรณาธิการประจำบทความที่ได้รับมอบหมายหรือหัวหน้ากองบรรณาธิการ
  • สิ่งแวดล้อมไทยปฏิบัติตามนโยบายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการประพันธ์ ควรขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงผู้เขียนจากผู้เขียนทุกคน หากผู้เขียนคนใดต้องการเปลี่ยนลำดับของผู้เขียน เช่น เพิ่ม/ลบผู้เขียน หรือเปลี่ยนแปลงผู้เขียนที่เกี่ยวข้อง

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญในการตีพิมพ์ต้นฉบับ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงคุณภาพต้นฉบับและรับประกันว่าต้นฉบับมีค่าควรแก่การตีพิมพ์และจะนำไปสู่ความรู้ทางวิชาการ นอกจากนี้ ผู้ประเมินอาจมีอิทธิพลต่อต้นฉบับขั้นสุดท้ายพร้อมกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางต่อไปนี้

  • ผู้ประเมินควรปฏิเสธคำขอตรวจสอบหากงานวิจัยของต้นฉบับไม่อยู่ในความเชี่ยวชาญของตน
  • ผู้ประเมินควรแสดงความคิดเห็นตามความเชี่ยวชาญของตนเท่านั้น และไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  • ผู้ประเมินจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลหรือผลลัพธ์จากต้นฉบับก่อนที่จะตีพิมพ์
  • ผู้ประเมินควรแจ้งบรรณาธิการหากสงสัยว่าต้นฉบับมีผลงานซ้ำกับบทความที่ตีพิมพ์อื่น ๆ

บทความวิชาการทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในสิ่งแวดล้อมไทย เป็นแบบเปิดเข้าถึงทั้งหมด สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายทันที บทความจะตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสาร

ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้นผู้เขียนจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการ

บทความที่ตีพิมพ์ทั้งหมดได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้นจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการ

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บเงินใด ๆ ตั้งแต่การส่งจนถึงการตีพิมพ์ รวมถึงค่าธรรมเนียมการส่ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้านบรรณาธิการ ค่าใช้จ่ายในการประมวลผลบทความ ค่าบริการหน้า และค่าสี