ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองในเทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

บทคัดย่อ

ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองในเทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ณัฐภากัญญ์ ชูสินภาณุมาศ และ วราลักษณ์ คงอ้วน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ณัฐภากัญญ์ ชูสินภาณุมาศ และ วราลักษณ์ คงอ้วน. (2561). ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองในเทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 22 (ฉบับที่ 2), 21-29.

ความคิดเห็นของประชาชน

ที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมือง

ในเทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

ณัฐภากัญญ์ ชูสินภาณุมาศ และ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

บทนำ
     เทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ครอบคลุมพื้นที่ทั้งสิ้น 3.28 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่มีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เหมืองปิล๊อก วัดทองผาภูมิ วัดท่าขนุน ฯลฯ ส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากการมีจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 100,000 คน/ปี และการขยายตัวของโรงแรมกว่า 200 แห่ง บริเวณริมแม่น้ำแควน้อย (สำนักงานเทศบาลตาบลองผาภูมิ, 2560) อย่างไรก็ตาม การขยายตัวทางการท่องเที่ยวดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมเมืองตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาขยะมูลฝอยตกค้าง ปัญหาน้ำมีลักษณะขุ่น ไม่เหมาะสมต่อการทำเกษตรกรรมในบริเวณชุมชนริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย เป็นต้น 
     การศึกษาสถานการณ์สิ่งแวดล้อมเมืองและความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองในเขตเทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี จะนำไปสู่การตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง ตลอดจนความพึงพอใจและความต้องการของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อม อันเป็นประโยชน์ต่อการเสนอแนะแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ได้ ผลการศึกษาที่ได้จึงสะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของการมีส่วนร่วมของประชาชนกับการจัดการสิ่งแวดล้อม ทั้งในประเด็นของการเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจ การสร้างความตระหนักของหน่วยงานภาครัฐที่มีต่อความต้องการของประชาชน การเพิ่มความง่ายต่อการปฏิบัติของแผนและการพัฒนาความเชี่ยวชาญและความคิดสร้างสรรค์ของสาธารณชน (เจมส์ แอล เครตัน, 2545) 
     บทความนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอภาพของปัญหาสิ่งแวดล้อมเมืองและความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองในเขตเทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้ง เสนอแนะแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมเมือง โดยมาตรการทางผังเมืองที่สอดคล้องต่อความต้องการของประชาชนและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อันเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ให้ทวีความรุนแรง อีกทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

กรอบการศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง
     การศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง พิจารณาเฉพาะประเด็นทางด้านกายภาพ ได้แก่ การใช้ประโยชน์ที่ดิน การคมนาคมและขนส่ง การระบายน้ำและกำจัดน้ำเสีย และการจัดการขยะมูลฝอย เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมเมืองที่ประชาชนสามารถรับรู้และแสดงความคิดเห็นได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยตรง การเก็บข้อมูลในพื้นที่ดำเนินการโดยการทำแบบสอบถาม ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบทราบประชากรของยามาเน่ (Yamane, 1973) จากจำนวนครัวเรือนที่พักอาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลทองผาภูมิ 1,519 ครัวเรือน ใน พ.ศ. 2557 ที่ค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 90 จะได้กลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 93.82 ชุด (ในการเก็บข้อมูลจริง กลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 100 ชุด) (ประคอง กรรณสูตร, 2542)
     สำหรับการแบ่งเกณฑ์ในการพิจารณาค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นแบ่งเป็น 5 ระดับ ได้แก่ น้อยที่สุด (ช่วงคะแนน 1.00-1.50) น้อย (ช่วงคะแนน 1.51-2.50) ปานกลาง (ช่วงคะแนน 2.51-3.50) มาก (ช่วงคะแนน 3.51-4.50) และมากที่สุด (ช่วงคะแนน 4.51-5.00) 

ปัญหาสิ่งแวดล้อมเมืองทองผาภูมิ
     ปัญหาสิ่งแวดล้อมเมืองในพื้นที่เมืองทองผาภูมิที่ได้จากการสำรวจภาคสนามและการจัดทำแบบสอบถาม แบ่งเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การใช้ประโยชน์ที่ดิน การคมนาคมและขนส่ง การระบายน้ำและบำบัดน้ำเสียและการจัดการขยะมูลฝอย แสดงรายละเอียดดังนี้ (รูปภาพที่ 1)

1. การใช้ประโยชน์ที่ดิน 
     พื้นที่ศึกษามีการใช้ประโยชน์ที่ดิน 7 ประเภท ได้แก่ ที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา สถาบันการศาสนา สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ และชนบทและเกษตรกรรม โดยพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมหนาแน่น ได้แก่ บริเวณถนนเทศบาลสายหลักต่อเนื่องไปจนถึงบริเวณริมแม่น้ำแควน้อย และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3272 โดยลักษณะอาคารส่วนใหญ่ เป็นอาคารเดี่ยว ตึกแถว และห้องแถว โดยปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ศึกษา สรุปได้ดังนี้
     1) การเพิ่มขึ้นของอาคาร สิ่งก่อสร้างและพื้นที่เมือง ผลจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการท่องเที่ยวในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของจำนวนสถานประกอบการระหว่างปี พ.ศ.2550 ถึง พ.ศ. 2560 เป็นจำนวนมากถึง 540 แห่ง (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2560) ทั้งในลักษณะที่พักแรม ร้านบริการอาหารและเครื่องดื่ม และร้านขายปลีก นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการลดลงของพื้นที่สีเขียวบริเวณริมแม่น้ำแควน้อย ทั้งในลักษณะพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ป่าไม้  
     2) การก่อสร้างอาคารและถนนขวางทางน้ำ การก่อสร้างอาคาร สิ่งก่อสร้างบริเวณถนนบุษปวนิชที่ขวางทางน้ำ ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการระบายน้ำและการลดลงของพื้นที่รับน้ำ อันเป็นผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนตามมา
     3) การขาดความเป็นระเบียบและสวยงามของภูมิทัศน์เมือง การสร้างอาคารสิ่งก่อสร้างที่ไม่เป็นระเบียบและมีสภาพแออัด โดยเฉพาะบริเวณตลาดทองผาภูมิ ส่งผลให้ทัศนียภาพของชุมชนไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม นอกจากนี้ พื้นที่สวนสาธารณะยังขาดซึ่งการทำนุบำรุง ดูแลรักษา เช่น ในบริเวณท่าน้ำเทศบาลตำบลทองผาภูมิ สะพานแขวนวัดท่าขนุน และสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ฯลฯ 


รูปภาพที่ 1 ปัญหาสิ่งแวดล้อมเมืองในพื้นที่ศึกษา
ที่มา : จากการสำรวจภาคสนามเดือนมกราคม พ.ศ.2560

2. การคมนาคมและขนส่ง 
     เส้นทางคมนาคมและขนส่งของเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ประกอบด้วย ถนนสายประธาน ได้แก่ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3272 ถนนสายหลัก คือ ถนนเทศบาลสายหลัก ถนนสายรอง คือ ถนนบุษปวนิช ถนนเทศบาล 1–17 และถนนเทศบาล 22 ส่วนถนนสายย่อย ได้แก่ ตรอกและซอยย่อยต่าง ๆ ระบบถนนในพื้นที่มีลักษณะเป็นถนนแบบเส้นตรง (Linear Road System) สายสั้น ๆ บรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3272 และถนนเทศบาลสายหลัก พื้นที่เทศบาลตำบลทองผาภูมิประสบปัญหาด้านการคมนาคมและขนส่งต่าง ๆ ดังนี้
     1) การจราจรติดขัดในเวลาเร่งด่วน จากลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชุมชนที่เกาะตัวตามแนวถนนเทศบาลสายหลัก ประกอบกับ ความกว้างของผิวถนนที่ค่อนข้างคับแคบ ไม่มีทางเท้า หรือไหล่ทาง (รูปภาพที่ 2) และไม่มีที่จอดรถในบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้มีปริมาณรถติดสะสมจำนวนมากในช่วงเทศกาลและช่วงระยะเวลาเร่งด่วน (08.00-09.00 น. และ 16.00-17.00 น.) 


รูปภาพที่ 2 ลักษณะของของถนนที่ความกว้างของผิวถนนที่ค่อนข้างคับแคบ ไม่มีทางเท้า หรือไหล่ทาง
ที่มา : จากการสำรวจภาคสนามเดือนมกราคม พ.ศ.2560

     2) เส้นทางมีสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน เส้นทางการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่ต่าง ๆ ขาดความเชื่อมโยงถึงกัน และมักมีพื้นผิวจราจรขรุขระ ชำรุด 
     3) การขาดการจัดการระบบขนส่งสาธารณะ การบริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่มี 2 ลักษณะ ได้แก่ การให้บริการเชื่อมต่อไปยังจังหวัดกาญจนบุรีและอำเภอสังขละบุรี มีลักษณะเป็นรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ รถตู้ประจำทางปรับอากาศ รถโดยสารประจำทางธรรมดา และการให้บริการภายในพื้นที่บริเวณตลาด จะเป็นรถจักรยานยนต์รับจ้าง ระบบขนส่งสาธารณะดังกล่าว แม้เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ยังขาดการจัดระเบียบและมาตรฐานในการให้บริการ เช่น การกำหนดจุดจอดรถที่ชัดเจน เป็นต้น

3. การระบายน้ำและบำบัดน้ำเสีย 
     พื้นที่เทศบาลตำบลทองผาภูมิ ไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน น้ำฝนและน้ำเสียของชุมชนจึงไหลรวมกันลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำแควน้อย ปัญหาด้านการระบายน้ำและบำบัดน้ำเสียต่าง ๆ ในพื้นที่เทศบาลตำบลทองผาภูมิ สรุปได้ดังนี้
     1) การขาดการบำรุงรักษารางและท่อระบายน้ำ ส่งผลให้รางและท่อระบายน้ำมีสิ่งกีดขวางและอุดตัน ทั้งเศษใบไม้ กิ่งไม้ ขยะมูลฝอย รวมทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
     2) การขาดการวางแผนจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย ปัจจุบันเทศบาลตำบลทองผาภูมิยังไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย น้ำเสียจากอาคารประเภทต่าง ๆ จะถูกปล่อยลงในบริเวณพื้นที่ว่าง ทางระบายน้ำตามธรรมชาติ 
     3) การประสบปัญหาน้ำเน่าเสียและเสื่อมโทรม จากการปล่อยน้ำทิ้งของชุมชนลงสู่แหล่งน้ำโดยไม่ผ่านการบำบัดให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน ส่งผลให้แหล่งน้ำโดยเฉพาะแม่น้ำแควน้อยบริเวณใกล้ชุมชนมีสภาพเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็น 

4. การจัดการขยะมูลฝอย 
     เทศบาลตำบลทองผาภูมิ มีการให้บริการรวบรวมและจัดเก็บขยะมูลฝอย แต่การบำบัดและกำจัดขยะมูลฝอยดำเนินการในลักษณะการเทกองที่ไม่ได้มาตรฐานในที่ดินเอกชน ส่งผลให้เกิดปริมาณขยะมูลฝอยตกค้างที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นและทัศนียภาพที่ไม่สวยงาม (รูปภาพที่ 3)


รูปภาพที่ 3 ปริมาณขยะมูลฝอยตกค้างที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นและทัศนียภาพที่ไม่สวยงาม
ที่มา : จากการสำรวจภาคสนามเดือนมกราคม พ.ศ.2560

ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อม
1. ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถามและปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
     กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 53) อยู่ในช่วงอายุ 31–40 ปี (ร้อยละ 27) ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวหรือค้าขาย (ร้อยละ 36) และมีระยะเวลาในการอยู่อาศัยในพื้นที่มาแล้ว 5-10 ปี (ร้อยละ 31) เมื่อพิจารณาประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า ปัญหาที่สำคัญในระดับมาก 3 ลำดับแรก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอาคาร ที่พักอาศัย ร้านอาหารหรือรีสอร์ทบริเวณริมแม่น้ำแควน้อย (ค่าเฉลี่ย 3.86) รองลงมา ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะจากการขยายตัวของเมืองและการท่องเที่ยว (ค่าเฉลี่ย 3.71) และการขาดการจัดการขยะมูลฝอยที่ถูกหลักสุขาภิบาล (ค่าเฉลี่ย 3.69) ตามลำดับ 

2. ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อม
     ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.14) อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ประชาชนมีความพึงพอใจในระดับมากมีเพียงเรื่องเดียว ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย (ค่าเฉลี่ย 3.53) และประเด็นที่ประชาชนมีความพึงพอใจระดับปานกลางต่ำที่สุด ได้แก่ การจัดเก็บ รวบรวม ขนส่งและกำจัดขยะมูลฝอย (ค่าเฉลี่ย 2.47) (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมือง

ประเด็นความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมือง ค่าเฉลี่ย (X) S.D.
การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินของเทศบาลหรือภาครัฐ 3.41 0.89
การจัดภูมิทัศน์ที่สวยงามเป็นระเบียบ 3.37 0.73
การควบคุมประเภทและขนาดของกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3.42 0.87
การส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย 3.53 0.92
การกำหนดระยะถอยร่นอาคารและขนาดอาคารในพื้นที่ริมแม่น้ำแควน้อย 3.33 1.06
การจัดการเส้นทางสัญจรและเข้าถึงในพื้นที่ 3.11 1.03
การป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน 3.27 1.07
การบำบัดน้ำเสียและรักษาความสะอาดแหล่งน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง 2.97 1.13
การจัดระบบระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ 2.98 1.19
การป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ 2.69 1.30
การจัดเก็บ รวบรวม ขนส่ง และกำจัดขยะมูลฝอย 2.47 1.30
รวม 3.14 1.04

ที่มา : จากการแจกแบบสอบถาม พ.ศ.2560

3. ความต้องการของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อม
     ประชาชนมีความต้องการในการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.64) โดยประเด็นที่ประชาชนมีความต้องการในระดับมากสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การนำกฎหมาย แผน นโยบายในการจัดการสิ่งแวดล้อมมาใช้อย่างจริงจัง (ค่าเฉลี่ย 4.01) การจัดหาสถานที่กำจัดขยะแบบฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะ (ค่าเฉลี่ย 3.99) และการจัดเก็บและรวบรวมขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ (ค่าเฉลี่ย 3.99) ตามลำดับ (ตารางที่ 2)

ตารางที่ 2 ความต้องการของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเมือง

ประเด็นความต้องการของประชาชนที่มีต่อการจัดการสิ่งแวดล้อม ค่าเฉลี่ย (X) S.D.
การพัฒนาพื้นที่เพื่อการพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย 3.54 1.06
การจัดทำทางเดินเท้าและทางจักรยานที่สวยงามและปลอดภัย 3.50 0.92
การปรับปรุงหรือจัดทำพื้นที่สวนสาธารณะ แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ 3.51 1.01
การควบคุมประเภทและกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ก่อให้เกิดมลพิษ 3.19 1.28
การจัดหาสาธารณูปโภค สาธารณูปการที่เหมาะสมและเพียงพอ 3.25 1.13
การอนุรักษ์และสงวนรักษาพื้นที่ที่มีคุณค่าทางธรรมชาติ เช่น พื้นที่ป่าไม้ ฯลฯ 3.46 1.19
การใช้มาตรการบริหารการจราจร เช่น การควบคุมที่จอดรถ การจัดการระบบการเดินรถ ฯลฯ 3.67 0.82
การจัดหาและพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ 3.48 0.88
การแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด 3.64 0.88
การพัฒนาเส้นทางการคมนาคมและขนส่งให้เกิดความเชื่อมโยงและทั่วถึง 3.66 0.98
การจัดหาระบบบาบัดน้ำเสียภายในชุมชน 3.74 0.92
การแก้ไขและป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ 3.92 0.94
การจัดหาสถานที่กำจัดขยะแบบฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะ 3.99 0.99
การจัดเก็บและรวบรวมขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ 3.99 0.94
การนำกฎหมาย แผน นโยบายในการจัดการสิ่งแวดล้อมมาใช้อย่างจริงจัง 4.01 1.00
รวม 3.64 1.00

ที่มา : จากการแจกแบบสอบถาม พ.ศ.2560

บทสรุป 

     การตั้งถิ่นฐานของชุมชนในเทศบาลตำบลทองผาภูมิมีการกระจุกตัวหนาแน่นบริเวณถนนเทศบาลสายหลักต่อเนื่องไปจนถึงบริเวณริมแม่น้ำแควน้อย และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3272 สอดคล้องกับลักษณะการตั้งถิ่นฐานตามแนวยาว (Linear Settlement) ที่อาคารและสิ่งก่อสร้างจะเรียงตัวเป็นแนวยาวตามแม่น้ำ ลำคลอง หรือถนน เพื่อความสะดวกในการเดินทางและการใช้ประโยชน์จากการแม่น้ำ ลำคลองในการอุปโภค บริโภค (ชุมพล สุรินทราบูลย์, 2552) โดยปัญหาสิ่งแวดล้อมเมืองในพื้นที่ มีทั้งในลักษณะของการร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การลดลงและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่สีเขียว และการเกิดขึ้นของปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม เช่น การประสบปัญหาน้ำเน่าเสียและเสื่อมโทรม การเกิดปัญหาขยะมูลฝอยตกค้าง เป็นต้น 

     ทั้งนี้ ประชาชนมีความพึงพอใจในการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินและขยายตัวของเมืองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ การเพิ่มขึ้นของอาคาร ที่พักอาศัย ร้านอาหารหรือรีสอร์ทบริเวณริมแม่น้ำแควน้อย ในขณะที่ ความพึงพอใจในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมมีเพียงเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนมีแนวโน้มของการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาและขยายตัวของเมือง หากมีการควบคุมและดูแลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างเหมาะสม ในด้านของการจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ จะเห็นได้ว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับการจัดการขยะมูลฝอย โดยประชาชนมีความต้องการให้จัดหาสถานที่กำจัดขยะแบบฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะ และการจัดเก็บและรวบรวมขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพในระดับมาก นอกจากนั้น การนำกฎหมาย แผน นโยบายในการจัดการสิ่งแวดล้อมมาใช้อย่างจริงจังในการแก้ไขและป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง ยังเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสำคัญมาก 

ข้อเสนอแนะ

     1. วางแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการวางแผนการจัดการขยะมูลฝอย ที่คำนึงถึงทั้งในเรื่องการลดปริมาณขยะมูลฝอยและความเป็นพิษของขยะมูลฝอย การหมุนเวียนและนำกลับมาใช้ใหม่ การรวบรวมและขนส่ง ตลอดจน การจัดหาสถานที่และการดำเนินการกำจัดขยะแบบฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะจะช่วยแก้ไขปัญหาขยะตกค้างและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ (Pichtel, 2014)
     2. เร่งดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองรวม แม้ความต้องการของประชาชนที่มีต่อการควบคุมประเภทและกิจกรรมการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ก่อให้เกิดมลพิษจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่การเร่งดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองในพื้นที่ศึกษา จะนำมาซึ่งการตอบสนองความต้องการประชาชนในระดับมาก ทั้งในเรื่องการนำกฎหมายมาใช้อย่างจริงจัง การพัฒนาพื้นที่เพื่อการพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัย การจัดหาสาธารณูปโภค สาธารณูปการที่เหมาะสมและเพียงพอ ฯลฯ 
     3. ควบคุมกิจกรรมและลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณริมแม่น้ำอย่างเข้มงวด การนำกฎหมายมาใช้อย่างเข้มงวด เช่น กฎหมายควบคุมอาคาร ฯลฯ นอกจากจะเป็นการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอาคาร ที่พักอาศัย ร้านอาหารหรือรีสอร์ทบริเวณริมแม่น้ำแควน้อยอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียและปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตามมา
     4. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพอเพียงและได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงและดูแล รักษาสวนสาธารณะให้มีทัศนียภาพที่สวยงามและเหมาะสมแก่การใช้งาน การซ่อมแซมเส้นทางการจราจรให้ได้มาตรฐาน และการพัฒนาเส้นทางการเข้าถึงสถานที่ต่าง ๆ ให้มีความเชื่อมโยงและเป็นไปอย่างทั่วถึง การส่งเสริมการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียติดกับที่ (Onsite Treatment) ฯลฯ (สำนักจัดการคุณภาพน้ำ, ม.ป.ป.) จะช่วยยกระดับความพึงพอใจในการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองในพื้นที่ ป้องกันการเกิดขึ้นของปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม และช่วยส่งเสริมให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนมากขึ้น

กิตติกรรมประกาศ
     บทความนี้พัฒนาและปรับปรุงมาจากสารนิพนธ์เรื่อง “แนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี” อันเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรการผังเมืองบัณฑิต สาขาวิชาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา 2559  

เอกสารอ้างอิง
เจมส์ แอล เครตัน. 2545. คู่มือ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจของชุมชน. แปลโดย วันชัย วัฒนศัพท์. ขอนแก่น: โรงพิมพ์ศิริภัณฑ์ ออฟเซ็ท.
ชุมพล สุรินทราบูลย์. 2552. วิวัฒนาการการตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย. เอกสารประกอบการสอนวิชา ผม.205. กรุงเทพมหานคร: ม.ป.ท.
ประคอง กรรณสูตร. 2542. สถิติเพื่อการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ด่านสุธาการพิมพ์.
สำนักงานเทศบาลตำบลทองผาภูมิ. 2560. แผนพัฒนาสามปี เทศบาลตำบลทองผาภูมิ พ.ศ.2558-2560. [ออนไลน์] แหล่งที่มา: http://www.tpm.go.th/phan%203%20years.pdf [5 มีนาคม 2560]
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. 2560. ข้อมูลสถิติจากการสำมะโน/สำรวจ/รายงานสถิติจังหวัด/สำรวจพิเศษ. [ออนไลน์] แหล่งที่มา: http://kanchanaburi.old.nso.go.th/nso/project/search/index.jsp? province_id=21&fid=1 [12 กุมภาพันธ์ 2560]
สำนักจัดการคุณภาพน้ำ. ม.ป.ป. น้ำเสียชุมชนและระบบบำบัดน้ำเสีย. [ออนไลน์] แหล่งที่มา: http://www.pcd.go.th/info_serv/water_wt.html [24 ตุลาคม 2558]
Pichtel, J. 2014. Waste Management Practices: Municipal, Hazardous, and Industrial. 2nd ed. New York: Taylor and Francis Group.

สนับสนุนโดย


บทความอื่นๆ

Read More

บทความ: นักวิจัยตรวจพบไมโครพลาสติกในน้ำดื่ม แล้วแต่ละปี เรากินเข้าไปเท่าไร ?

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์