บทคัดย่อ
“ฟอเรสต์ สคูล” (Forest School) โรงเรียนทางเลือกในป่ากว้างสำหรับทุกวัย พิชญา ปิยจันทร์ นักวิชาการอิสระด้านการศึกษาและครูการศึกษาพิเศษ
ที่มา: Oak Tree Nursery, Bath Spa University (2016)
พิชญา ปิยจันทร์. (2561). “ฟอเรสต์ สคูล” (Forest School)โรงเรียนทางเลือกในป่ากว้างสำหรับทุกวัย. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 22 (ฉบับที่ 2), 5-13.
“ฟอเรสต์ สคูล” (Forest School)
โรงเรียนทางเลือกในป่ากว้างสำหรับทุกวัย
พิชญา ปิยจันทร์
นักวิชาการอิสระด้านการศึกษาและครูการศึกษาพิเศษ
บทนำ
การศึกษาทางเลือก ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเรียนและการพัฒนาแบบองค์รวมของเด็ก ๆ นอกเหนือจากการเรียนเพื่อคะแนน หรือการเรียนกวดวิชา โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครองชนชั้นกลางและชนชั้นกลางกลุ่มที่มีรายได้ระดับสูง ความนิยมในการศึกษาทางเลือกส่วนหนึ่งเกิดจาก “การศึกษาที่ดีที่สุดในโลก” ของประเทศฟินแลนด์ ที่เด็ก ๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการ “เล่น” แต่ยังคงทำคะแนนสอบในโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (The Programme for International Student Assessment:PISA) ได้ดีเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก (Anderson & Wang, 2016) เด็ก ๆ ในประเทศแถบทวีปสแกนดิเนเวียหรือยุโรปเหนือ รวมถึง ประเทศฟินแลนด์จะได้รับการปลูกฝังให้เรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการสังเกตและลงมือทำมาตั้งแต่การเรียนในระดับอนุบาล ซึ่ง “ฟอเรสต์ สคูล” (Forest School) หรือโรงเรียนในป่าเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของเด็ก ๆ (Walker, 2016) นอกจากนี้ ประเทศฟินแลนด์เริ่มหันมาใช้รูปแบบการเรียนที่เน้นการเรียนรู้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เน้นการทำงานเป็นกลุ่มและการลงมือปฏิบัติจริง หรือที่เรียกว่า “Phenomenon-Based Learning” (PBL) (BBC, 2017) ในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้นักเรียนสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้มากขึ้นและเปิดโอกาสให้นักเรียนมีเสรีภาพในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
การศึกษาของประเทศฟินแลนด์ข้างต้นเป็นตัวอย่างของการปรับรูปแบบการศึกษาโดยคำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามนโยบายที่คำนึงถึงความเท่าเทียมกันของคนในชาติเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับครู ทำให้การศึกษากลายเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำชาติ (Nainapat, 2017) ในที่สุด
สำหรับในประเทศไทยนั้น การศึกษาใด ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับจุดเน้นของหลักสูตรแกนกลางซึ่งเป็นการศึกษากระแสหลักในระบบโรงเรียนและมุ่งตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้เรียน หากไม่ถูกจัดให้เป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร (extracurricular activities) แล้ว จะถูกจัดให้อยู่ในหมวดการศึกษาทางเลือก (alternative education) ทั้งสิ้น โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2542 นิยามการศึกษาทางเลือกไว้ว่า
“การศึกษาทางเลือก คือ การศึกษาที่มีรูปแบบแตกต่างจากการศึกษากระแสหลัก เป็นการศึกษาที่มีขอบเขตกว้างขวาง มีหลายรูปแบบทั้งเนื้อหาและวิธีการเรียนรู้ เนื่องจากมุ่งตอบสนองการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านความถนัด ความสนใจ ความพร้อมในการเรียนรู้ รวมถึงความแตกต่างด้านสภาพแวดล้อมของวิถีชีวิต ครอบครัว สังคม วัฒนธรรม และความหลากหลายทางชาติพันธุ์” (สํานักงานปฏิรูปการศึกษา, 2544)
อย่างไรก็ตาม “ฟอเรสต์ สคูล” ยังไม่แพร่หลายมากนักในประเทศไทย โรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบ “ฟอเรสต์ สคูล” มักเป็นโรงเรียนเอกชนทางเลือก เช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ หรือโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ เป็นต้น นอกจากนี้ คำว่า “ฟอเรสต์ สคูล” หรือ “โรงเรียนในป่า” มักถูกเข้าใจว่าเป็นการจัดการศึกษาแก่ชนกลุ่มน้อย เด็กยากจน หรือเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่ทุรกันดาร ทั้ง ๆ ที่ “ฟอเรสต์ สคูล” มีหลักการที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนใส่ใจและเข้าใจธรรมชาติ โดยในขณะเดียวกันก็พัฒนาผู้เรียนจากภายในด้วย
ที่มา: Naure Play QLD (2016)
หลักการของ “ฟอเรสต์ สคูล”
การจัดการศึกษาแบบ “ฟอเรสต์ สคูล” มีความหมายอย่างกว้าง หมายถึง การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และสำรวจการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในแต่ละฤดู กิจกรรมของฟอเรสต์ สคูลจะเปลี่ยนไปตามรูปแบบและวัตถุประสงค์ของการเรียนในครั้งนั้น ๆ โดยกิจกรรมต่าง ๆ จะถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันผ่านหลักการสำคัญ 6 ประการ (Institute for Outdoor Learning, 2012) ดังต่อไปนี้
1. จัดการศึกษาระยะยาวในป่าหรือในพื้นที่ธรรมชาติ และให้ผู้เรียนเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ หลักสำคัญของการจัดกิจกรรม จะเน้นการวางแผน การปรับตัว การสังเกต และการทบทวน
2. กิจกรรมส่วนใหญ่เน้นพัฒนาและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
3. จัดกิจกรรมที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม ปลูกฝังความอดทน มุมานะ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ความมั่นใจในตนเอง พึ่งพาตนเองได้และมีความคิดสร้างสรรค์
4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดลองรับความเสี่ยงในการทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่เหมาะกับทักษะความพร้อมของผู้เรียน และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนั้น ๆ
5. ดำเนินการโดยครู หรือผู้นำกิจกรรม ผู้ผ่านการอบรมพัฒนาทักษะจากศูนย์ “ฟอเรสต์ สคูล” ที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น และต้องได้รับการอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะอยู่เสมอ
6. จัดกิจกรรมโดยเน้นการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และการพัฒนา
จากหลักการจัดการศึกษาแบบ “ฟอเรสต์ สคูล” ทั้ง 6 ประการจะเห็นได้ว่า ล้วนมุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้โดยมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางทั้งสิ้น
กิจกรรมของ “ฟอเรสต์ สคูล”
โดยทั่วไปแล้ว ครูผู้นำกิจกรรมจะออกแบบกิจกรรมที่เน้นความเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการในตัวนักเรียนเป็นสำคัญ ซึ่งกิจกรรมจะถูกวางแผนและเตรียมการไว้ล่วงหน้าบางส่วน เมื่อถึงเวลาดำเนินกิจกรรม ครูและผู้รับผิดชอบจะพานักเรียนออกเดินทางไปยังพื้นที่ป่า ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 15 นาที ครูจะเปิดโอกาสให้นักเรียนสำรวจและทำความคุ้นเคยกับพื้นที่นั้น ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจและเสริมทักษะการพึ่งพาตัวเองของนักเรียน นักเรียนบางคนอาจใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ป่าเป็นเวลาหลายสัปดาห์
สำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมมาหลายครั้งแล้ว ครูอาจมอบหมายให้ก่อกองไฟเพื่อทำอาหารในป่าได้อีกด้วย ซึ่งนักเรียนจะต้องใช้เวลาฝึกฝนทักษะการก่อกองไฟและผ่านการสอบปฏิบัติก่อนที่จะก่อกองไฟด้วยตัวเอง นอกจากนี้ นักเรียนต้องวางแผนการทำอาหาร ตลอดจนวางมาตรการรักษาความปลอดภัยของตนเองอย่างละเอียด ซึ่งในแต่ละขั้นตอนของการวางแผน คือ การบูรณาการความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนนั่นเอง (O’Brien & Murray, 2006)
รูปภาพที่ 1 กระบวนการคิดในการก่อกองไฟขั้น การเตรียมฟืน
ในแต่ละกระบวนการเรียนรู้ (รูปภาพที่ 1) เด็ก ๆ จะได้ฝึกคิดอย่างละเอียดและได้ลงมือปฏิบัติจริง โดยจะต้องบันทึกผลการปฏิบัติทุกครั้ง นักเรียนจะได้ฝึกเปรียบเทียบว่า กิ่งไม้สดหรือกิ่งไม้แห้งทีนำมาใช้ กิ่งไม้ประเภทใดจะสามารถก่อไฟได้ดีกว่ากัน โดยครูสามารถเชื่อมโยงการเรียนเรื่องนี้เข้ากับวิชาวิทยาศาสตร์ได้ การคำนวณขนาดและจำนวนเป็นการฝึกบวกและลบเลขในวิชาคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ นักเรียนจะได้ฝึกพูดและนำเสนอความคิดของตน ตลอดจนการถาม การตอบปัญหา และข้อสงสัยกับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นการฝึกทักษะและพัฒนาการทางภาษาอีกด้วย จะเห็นได้ว่า กิจกรรมบางส่วนของฟอเรสต์ สคูลมีความคล้ายคลึงกับการจัดกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาดในประเทศไทยอยู่มากตรงที่นักเรียนได้ฝึกทักษะชีวิต อย่างไรก็ตาม ฟอเรสต์ สคูลเน้นให้ผู้เรียนได้บูรณาการความรู้จากวิชาต่าง ๆ ฝึกพัฒนาตนเอง ตลอดจนได้เรียนรู้การเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมากกว่ากลุ่มวิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาดที่ส่วนใหญ่เน้นทักษะการเอาตัวรอดในยามคับขัน นอกจากนี้ ฟอเรสต์ สคูล ยังเน้นให้นักเรียนฝึกฝนทักษะจนชำนาญและเกิดความมั่นใจก่อนที่จะลงมือทำตั้งแต่ต้นจนจบอีกด้วย
ทั้งนี้ นักเรียนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมกับ “ฟอเรสต์ สคูล” ได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงมัธยมศึกษา นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้เหมือนนักเรียนปกติ โดยครูผู้รับผิดชอบจะออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับรูปแบบการเรียนรู้ (learning style) ของผู้เรียน และใช้รูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับนักเรียนเป็นรายบุคคล เช่น เน้นใช้คำสั่งที่เป็นรูปภาพกับนักเรียนที่อ่านเขียนไม่คล่อง เขียนคำสั่งให้เข้าใจง่ายและมีลำดับขั้นตอนชัดเจนเพื่อให้นักเรียนออทิสติกเข้าใจได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ผลของการจัดการศึกษาแบบ “ฟอเรสต์ สคูล”
หลักการข้อหนึ่งของ “ฟอเรสต์ สคูล” คือ การสร้างความผูกพันของเด็ก ๆ กับธรรมชาติรอบตัว รายงานการวิจัยที่ศึกษาด้านความเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติของผู้เรียนต่อผืนป่าและสิ่งแวดล้อมหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า ผู้เรียนมีความสนใจและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติรอบตัวมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมของ “ฟอเรสต์ สคูล” (Institute for Outdoor Learning, 2012; Turtle, Convery, Convery, และ Huang, 2015) ผลการศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การปลูกฝังให้เด็ก ๆ รักและผูกพันกับธรรมชาติอาจทำได้ไม่ยากนัก นอกจากนี้ ครูยังสามารถเพิ่มกิจกรรมปลูกฝังจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติแก่เด็ก ๆ ได้อีกด้วย
การจัดการศึกษาแบบ “ฟอเรสต์ สคูล” ส่งผลต่อผู้เรียนและครู สรุปได้ดังนี้
1. ผลต่อผู้เรียน
การที่ผู้เรียนได้ใช้เวลาในธรรมชาติ ทำให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญและความเชื่องโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ นอกจากนี้ “ฟอเรสต์ สคูล” ยังช่วยพัฒนาทักษะในตัวผู้เรียนได้หลาย ๆ ด้าน ดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ทักษะด้านต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนาหลังจากเข้าร่วม “ฟอเรสต์ สคูล”
ทักษะ | แนวทางการพัฒนาทักษะ | พฤติกรรมของผู้เรียน |
ความมั่นใจในตนเอง (Confidence) |
ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ จะได้รับการฝึกฝนให้เคยชินกับกิจวัตรและกิจกรรมต่าง ๆ มีโอกาสได้สำรวจพื้นที่และเรียนรู้ตามความต้องการของตน | นักเรียนมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนมากขึ้น สามารถสื่อสารด้วยความมั่นใจไปยังผู้เรียนคนอื่นหรือครู ผ่านภาษากาย สายตา และคำพูดได้ นอกจากนี้ นักเรียนยังรู้สึกผ่อนคลาย เป็นตัวของตัวเองและมีความกระตือรือร้นมากขึ้น |
การเข้าสังคม (Social Skills) |
นักเรียนได้รับการส่งเสริมให้ทำงานและแก้ไขปัญหาร่วมกัน มีการแบ่งปันอุปกรณ์ และได้รับการส่งเสริมให้เล่นเกมที่ส่งเสริมทักษะการทำงานร่วมกัน | นักเรียนมีทักษะการต่อรองในการทำงานกลุ่ม มีพฤติกรรมเชิงบวกเมื่อคุยกับเพื่อนและเสนอความช่วยเหลือเมื่อมีโอกาส นอกจากนี้ นักเรียนยังสนุกกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมแบบกลุ่ม และชักชวนผู้อื่นให้ทำกิจกรรมเป็นกลุ่มมากกว่าทำกิจกรรมคนเดียว |
ทักษะด้านภาษาและการสื่อสาร (Language and communication) |
นักเรียนได้รับโอกาสให้สื่อสารอย่างเสรี มีการพูดคุยโต้ตอบกับครูและเพื่อนร่วมกิจกรรม นอกจากการใช้ภาษาพูดแล้ว นักเรียนยังสามารถใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดในการเรียนรู้เพื่อสร้างจินตนาการเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง | นักเรียนสามารถต่อรองและสื่อสารกับกลุ่มเพื่อนได้ และรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องสื่อสารกับเพื่อน ๆ หรือผู้ใหญ่ การใช้ภาษาทั้งการพูดและการเขียนพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น |
ความมุ่งมั่นและความตั้งใจ (Motivation and concentration) |
ผู้เรียนได้รับโอกาสให้เรียนรู้ตามความถนัดของแต่ละคน ทำให้ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การต่อยอดทางความคิด โดยไม่จำกัดอยู่กับการเขียนและทำแบบฝึกหัดในชั้นเรียน | เด็ก ๆ มีความกระตือรือร้นต่อการเข้าร่วมกิจกรรม “ฟอเรสต์ สคูล” และกลับมาเล่าประสบการณ์ให้เพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมฟัง ตลอดจนแสดงให้เห็นว่ามีความรู้เกี่ยวกับป่าและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สามารถบอกชนิดของสัตว์และต้นไม้ได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองของนักเรียนจะมีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับ “ฟอเรสต์ สคูล” มากขึ้นเพราะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ดี ๆ จากลูก ๆ ด้วย |
พัฒนาการทางด้านร่างกาย (Physical skills) |
การเดินในป่า ซึ่งไม่ง่ายนัก พื้นผิวที่ขรุขระ บางครั้งเปียกและเป็นโคลน การใช้อุปกรณ์ที่ต้องออกแรงมาก และต้องอาศัยการตื่นตัวอยู่เสมอ รวมทั้ง การทำกิจกรรมตลอดเวลา กิจกรรมเหล่านี้ทำให้พัฒนาการด้านร่างกายของเด็กดีขึ้น | กล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ได้พัฒนาเต็มที่ เด็ก ๆ เคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น ไม่ล้มง่าย หยิบจับอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เหนื่อยง่าย มีความระแวดระวังเกี่ยวกับพื้นที่รอบตัว มีความกระตือรือร้นและอยากสัมผัสพื้นผิวใหม่ ๆ มีความอดทนมากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับการเดินทางในป่าที่ค่อนข้างลำบาก |
ความรู้และความเข้าใจ (Knowledge and Understanding) |
ผู้เรียนได้รับโอกาสให้เรียนรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ การเรียนรู้ในการทำตามกติกาเพื่อรักษาความปลอดภัยต่อตนเองและคนรอบข้าง หมั่นสังเกตว่าสิ่งใดที่อาจก่อให้เกิดอันตราย และการป้องกันแต่เนิ่น ๆ นอกจากนี้ ผู้เรียนยังได้รับการสนับสนุนให้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด เพื่อสังเกตสัตว์ป่าและพรรณพืชรอบตัว | ผู้เรียนจดจำและบอกชนิดสัตว์ป่าและพรรณพืชรอบตัวได้ และมีความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับโลกรอบตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้เรียนยังรู้สึกหวงแหนสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากมีความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว |
ที่มา: O’Brien และ Murray (2006)
2. ผลต่อครู
“ฟอเรสต์ สคูล” ส่งผลดีต่อครูและผู้ใหญ่หลายประการด้วยกัน โดยข้อที่สำคัญที่สุด คือ ผู้ใหญ่ได้รู้จักเด็กแต่ละคนมากขึ้น ทำให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ ต่อนักเรียนของตน (Harris, 2017) เนื่องจากนักเรียนอาจกลายเป็นอีกคนหนึ่งเมื่อได้ทำกิจกรรมในธรรมชาติ เช่น แสดงความใฝ่รู้ใฝ่เรียนอย่างเต็มที่ต่างจากที่เคยง่วงเหงาหาวนอนในชั้นเรียน นักเรียนบางคนอาจสงบขึ้นเมื่ออยู่ในป่า ทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้ในชั้นเรียน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้ผู้สอนได้ตระหนักถึงความแตกต่าง (difference) และความเฉพาะตัว (uniqueness) ของผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งทำให้สามารถนำไปปรับใช้กับแนวทางการสอนในชั้นเรียนได้
ที่มา: Essex Wildife Trust Forest School (n.d.) และ The Coach House Day Nursery (2018)
สรุป
การจัดการศึกษาสมัยใหม่ ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่เน้นจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมที่เน้นตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ “ฟอเรสต์ สคูล” เป็นหนึ่งในตัวอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนอกสถานที่ ที่บูรณาการทั้งด้านทักษะชีวิต การพัฒนาทักษะด้านร่างกาย การสังเกต ความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกับความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ นอกจากนี้ “ฟอเรสต์ สคูล” ยังเหมาะกับผู้เรียนทั้งที่มีพัฒนาการปกติและผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ได้ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน เพราะครูผู้ผ่านการอบรมจาก “ฟอเรสต์ สคูล” จะเป็นผู้ที่มีความคิดละเอียดอ่อน สามารถผลิตและออกแบบสื่อการสอนและกิจกรรมให้เหมาะกับผู้เรียนได้ “ฟอเรสต์ สคูล” จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การศึกษาทางเลือกที่ใช้ป่าเป็นห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาให้เกิดความเท่าเทียมทางการเรียนรู้ตลอดจนความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันของผู้เข้าร่วมทุกคนอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
สํานักงานปฏิรูปการศึกษา. (2544). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
Anderson, J., and Wang, A.X. (2016). In the world’s biggest education test, one small country has raced past all the others. [Online]. Available form: https://qz.com/853656/massachusetts-ranks-nears-singapore-the-education-powerhouse-in-global-assessment-of-15-year-olds-who-are-the-best-students-in-the-world-according-to-pisa-2015/ [20 February 2018]
BBC. (2017). ระบบการเรียนรูปแบบใหม่ในฟินแลนด์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.bbc.com/thai/international-40093564. [1 February 2018]
Harris, F. (2017). The nature of learning at forest school: practitioners' perspectives. International Journal of Primary, Elementary and Early Years Education 45(2): 272-291.
Institute for Outdoor Learning. (2012). What is Forest School? [Online]. Available form: http://www.forestschoolassociation.org/what-is-forest-school/ [1 February 2018]
Nainapat, P. (2017). บุกการศึกษาฟินแลนด์ : ระบบการเรียนแท้จริงเป็นยังไง เรื่องไหนเข้าใจถูกผิด. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://thematter.co/pulse/a-little-bit-more-about-finland-education/20261 [1 February 2018]
O’Brien, L., and Murray, R. (2006). A marvellous opportunity for children to learn. [Online]. Available form: https://www.forestry.gov.uk/pdf/fr0112forestschoolsreport.pdf/$FILE/ fr0112forestschoolsreport.pdf [20 February 2018]
Turtle, C., Convery, I., and Convery, K. (2015). Forest Schools and environmental attitudes: A case study of children aged 8–11 years. Cogent Education 2(1): 1-14. doi: 10.1080/2331186X.2015.1100103
Walker, T.D. (2016). Kindergarten, Naturally. [Online]. Available form: https://www.theatlantic.com/ education/archive/2016/09/kindergarten-naturally/500138/ [20 February 2018]
สนับสนุนโดย