แนวทางในการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

บทคัดย่อ

จากการศึกษาแนวทางในการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคเพื่อให้ทราบถึงแนวทางการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (2) เพื่อศึกษาถึงทัศนคติเกี่ยวกับการให้คุณค่าในพื้นที่และการเห็นความสำคัญต่อการอนุรักษ์ (3) เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนต่อทรัพยากรการท่องเที่ยว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลอุทยานฯ ที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้ข้อมูลรอง คือ สถานประกอบการ และนักท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 28 คน รวมถึงการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสรุปผล เพื่อหาแนวทางในการแก้ไข จากการศึกษาพบว่า (1) อุทยานฯ มีปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้คือ ปัญหาลักลอบตัดไม้พะยูง ปัญหาสัตว์ป่าอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ และพฤติกรรมของผู้ที่มาเยือนอุทยานฯ เขาใหญ่ (2) ด้านทัศนคติพบว่า ผู้ให้ข้อมูลหลักเล็งเห็นความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากต้องดูแลผืนป่าสงวนที่มีผลต่อความมั่นคงระดับชาติ สำหรับผู้ให้ข้อมูลรองจะให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่เพราะเป็นแหล่งอาศัยและใช้ทำมาหากินจึงก่อให้เกิดความหวงแหน สำหรับนักท่องเที่ยวมากกว่าครึ่งที่ได้สัมภาษณ์จะเล็งเห็นความสำคัญและคุณค่าของพื้นที่ (3) ด้านการให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนพบว่า ผู้ให้ข้อมูลหลักจะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีหน้าที่ในการอนุรักษ์และปกป้องอุทยานฯ ในฐานะที่เป็นมรดกโลก สำหรับสถานประกอบการที่อยู่รอบอุทยานฯ จะให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเพราะจำเป็นต้องพึ่งพาอุทยานฯ ในการประกอบอาชีพ และสำหรับนักท่องเที่ยว จะให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง


ณัฏฐ์นันท์ คำทอง, เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล. (2561). แนวทางในการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 22 (ฉบับที่ 1), 16-24.

แนวทางในการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

THE DEVELOPMENT OF KHAO YAI NATIONAL PARK
FOR SUSTAINABLE TOURISM

ณัฏฐ์นันท์ คำทอง, เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล
มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด

บทคัดย่อ

จากการศึกษาแนวทางในการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคเพื่อให้ทราบถึงแนวทางการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (2) เพื่อศึกษาถึงทัศนคติเกี่ยวกับการให้คุณค่าในพื้นที่และการเห็นความสำคัญต่อการอนุรักษ์ (3) เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนต่อทรัพยากรการท่องเที่ยว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลอุทยานฯ ที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้ข้อมูลรอง คือ สถานประกอบการ และนักท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 28 คน รวมถึงการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสรุปผล เพื่อหาแนวทางในการแก้ไข จากการศึกษาพบว่า (1) อุทยานฯ มีปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้คือ ปัญหาลักลอบตัดไม้พะยูง ปัญหาสัตว์ป่าอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ และพฤติกรรมของผู้ที่มาเยือนอุทยานฯ เขาใหญ่ (2) ด้านทัศนคติพบว่า ผู้ให้ข้อมูลหลักเล็งเห็นความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากต้องดูแลผืนป่าสงวนที่มีผลต่อความมั่นคงระดับชาติ สำหรับผู้ให้ข้อมูลรองจะให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่เพราะเป็นแหล่งอาศัยและใช้ทำมาหากินจึงก่อให้เกิดความหวงแหน สำหรับนักท่องเที่ยวมากกว่าครึ่งที่ได้สัมภาษณ์จะเล็งเห็นความสำคัญและคุณค่าของพื้นที่ (3) ด้านการให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนพบว่า ผู้ให้ข้อมูลหลักจะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีหน้าที่ในการอนุรักษ์และปกป้องอุทยานฯ ในฐานะที่เป็นมรดกโลก สำหรับสถานประกอบการที่อยู่รอบอุทยานฯ จะให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเพราะจำเป็นต้องพึ่งพาอุทยานฯ ในการประกอบอาชีพ และสำหรับนักท่องเที่ยว จะให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง
คำสำคัญ : อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่, การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่คนไทยและชาวต่างชาติ ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นอุทยานแห่งชาติที่เป็นมรดกโลก อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร และมีกิจกรรมทางธรรมชาติที่น่าสนใจ เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่แหล่งท่องเที่ยวได้รับการพัฒนาพร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมีความเจริญเข้ามาพื้นที่ทางธรรมชาติก็ค่อย ๆ สูญหายไป สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือ มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ มลพิษจากขยะและของเสียตามแหล่งท่องเที่ยว ภูมิทัศน์ที่เคยเขียวขจีกลับถูกทดแทนด้วยพื้นคอนกรีต เสียงรบกวนจากยานพาหนะและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของสัตว์ป่า รวมถึงการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า 
จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยจึงทำการศึกษาค้นคว้าถึงปัญหาและอุปสรรค เพื่อให้ทราบถึงแนวทางการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน รวมถึงศึกษาถึงทัศนคติเกี่ยวกับการให้คุณค่าในพื้นที่และการเห็นความสำคัญต่อการอนุรักษ์ เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนต่อทรัพยากรการท่องเที่ยว ประเด็นของการให้อาหารลิงกังโดยนักท่องเที่ยวในอุทยานฯ เขาใหญ่ ได้มีศึกษาไว้โดย พรชัย กัณห์อุไร (2546) พบว่านักท่องเที่ยวส่วนมาก (ร้อยละ 94) ไม่ได้ให้อาหารกับลิงกังที่พบเห็น และโดยส่วนมาก (ร้อยละ 94) ทราบว่าการให้อาหารสัตว์ป่าจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งทางอุทยานฯ เขาใหญ่ควรจะต้องควบคุมพฤติกรรมการให้อาหารลิงกังของนักท่องเที่ยวอย่างเช้มงวดต่อไป ส่วนในประเด็นด้านของพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ได้มีการศึกษาไว้โดย ณัฐพล รัตนพันธุ์ (2555) ในพื้นที่อุทยานฯ น้ำตกโยง จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่ขัดต่อข้อปฏิบัติ คือ การให้อาหารปลาในลำธาร การส่งเสียงดัง การเล่นดนตรี การทิ้งขยะ ตามลำดับ ซึ่งสาเหตุดังกล่าว เกิดจากการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้กฎระเบียบ ต้องการความสะดวกสบาย เพื่อความสนุกสนาน และจำเป็นต้องทำหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามลำดับ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบอุทยานแห่งชาติของนักท่องเที่ยวมากที่สุด คือ ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง รองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับความรุนแรงของบทลงโทษ

วิธีดำเนินการวิจัย
ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยมุ่งศึกษาถึงปัญหา ทัศนคติ และการให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ 1) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) คือ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) ผู้วิจัยจะกำหนดคำถามไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางในการสัมภาษณ์ (Interview Guide) และ 2) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant observation) โดยลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม 2560 ซึ่งนำผลลัพธ์ที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกมาทำความเข้าใจและเปรียบเทียบข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้เกิดความสอดคล้องกับประเด็นที่ได้ทำการศึกษา เพื่อนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป

ผลการวิจัย
จากการศึกษาและเก็บข้อมูลสามารถแบ่งผลการวิจัยออกได้เป็น 5 หัวข้อ คือ 

1. ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบทางกฎหมาย
เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีกฎระเบียบและข้อกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติอยู่ ซึ่งกำหนดขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ส่วนด้านความเข้มงวดของข้อกฎหมาย ผู้ให้ข้อมูลหลักให้คำตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า พ.ร.บ.อุทยานฯ  และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ มีความเข้มงวดอยู่ในตัวบทกฎหมาย โดยผู้ให้ข้อมูลหลัก 1 คนมีทัศนคติที่ต่างออกไปว่า กฎหมายที่บังคับใช้จะเข้มงวดหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ และการที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดและเข้มงวด มีสาเหตุมาจากเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านกฎหมาย และยังพบอีกว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ความร่วมมือในการปฏิบัติได้มากกว่านักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง คือ การให้อาหารสัตว์ป่า ทิ้งขยะไม่เป็นระเบียบ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเขตอุทยานฯ และการส่งเสียงดัง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อภิชญา พูลสวัสดิ์ (2556) ซึ่งพบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยกระทำพฤติกรรมทางลบสูงกว่านักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ยกเว้นเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลทางสถิติไม่แตกต่างกันเท่าใด เป็นผลมาจากกฎหมายในต่างประเทศมีบทกำหนดโทษที่รุนแรงกว่าประเทศไทย เจ้าหน้าที่ในต่างชาติมีความเด็ดขาด ไม่มีการประนีประนอม ทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ส่งผลให้นักท่องเที่ยวในต่างประเทศมีตัวเลขผู้กระทำผิดไม่สูง ในด้านมาตรการรองรับที่ทางอุทยานฯ ดำเนินการ คือ โครงการตาสับปะรดและโครงการประชาสัมพันธ์ 4 ม ที่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอุทยานฯ ตามแนวคิด “หัวใจสีเขียว” (Green Heart) คือ หัวใจที่เคารพในวิถีแห่งธรรมชาติ สร้างทัศนคติ ความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ พบว่า อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ขาดการประชาสัมพันธ์แบบต่อเนื่องโดยประชาสัมพันธ์เพียงช่วงเทศกาลหรือช่วงที่มีนักท่องเที่ยวมากเท่านั้น สื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์มีข้อมูลไม่ครบถ้วนคือ ระบุเพียงข้อห้ามแต่ไม่มีการอธิบายเหตุผลให้ชัดเจน และข้อความที่ประชาสัมพันธ์มีเพียงภาษาไทย ไม่มีเนื้อหาที่ทำให้ชาวต่างชาติได้เข้าใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการสื่อสารภาษาต่างประเทศและการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว

2. ด้านการให้ความร่วมมือต่อกฎระเบียบทางกฎหมาย
2.1) สถานประกอบการ ส่วนใหญ่จะมีส่วนร่วมในการช่วยประชาสัมพันธ์ข่าวสารกิจกรรมต่าง ๆ โดยประชาสัมพันธ์ผ่านทาง Social Network และผ่านทางนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักที่โรงแรมหรือเข้ามารับประทานอาหารภายในร้านอาหาร ผู้ให้ข้อมูลรองบางส่วนให้การสนับสนุนด้านอาหารแก่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ออกลาดตระเวน บางส่วนก็เข้าร่วมกิจกรรมของทางอุทยานฯ โดยตรง เช่น กิจกรรมปลูกป่า ทำฝายชะลอน้ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่อยู่ในกรอบแนวคิด “ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม” (Green Plus) คือ การมีกิจกรรมหรือการบริจาคให้คืนกลับแก่ธรรมชาติด้วยความเต็มใจ อีกทั้งบางส่วนยังมีส่วนร่วมในการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่และจัดการขยะตามหลักการอนุรักษ์ มีการบำบัดน้ำเสีย ติดตั้งท่อดักไขมัน กรองเศษอาหาร และลดของเสียก่อนทิ้ง ซึ่งอยู่ในขอบข่ายแนวคิด “ชุมชนสีเขียว” (Green Community) คือ แหล่งท่องเที่ยวที่มีความรู้ที่จะบริหารจัดการการท่องเที่ยวในทิศทางที่ยั่งยืน เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน เห็นแก่ส่วนรวม จะทำให้การท่องเที่ยวของชุมชนยั่งยืนไปได้ตลอด ซึ่งระดับการให้ความร่วมมือจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจและการให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม สอดคล้องกับแนวคิดของ พิมพ์ลภัส พงศกรรังศิลป์ ที่ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษา บ้านโคกไคร จังหวัดพังงา ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบหลักของการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืนของกลุ่มการท่องเที่ยวชุมชนบ้านโคกไคร คือ ศักยภาพทางการท่องเที่ยว กระบวนความคิดแบบยั่งยืนในด้านการมีจิตสำนึกที่ดีในการให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืนของทรัพยากรทางการท่องเที่ยวมากกว่าการมุ่งเน้นผลประโยชน์ด้านรายได้ มุ่งที่จะใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยผู้นำชุมชนเปิดโอกาสให้สมาชิกในชุมชนได้มีโอกาสมีส่วนร่วมกับการดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม (พิมพ์ลภัส พงศกรรังศิลป์, 2557) 

2.2) นักท่องเที่ยว เกือบทั้งหมด (9 จาก 10 คน) ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎที่ทางอุทยานฯ บังคับใช้ มีเพียง 1 คน ที่ละเมิดกฎอุทยานฯ บ้างในบางครั้ง เช่น เรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ในอุทยานฯ การส่งเสียงดัง โดยให้เหตุผลว่าเมื่อมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่จะสนุกสนานเต็มที่ และมีนักท่องเที่ยว 2 คนจากทั้งหมด ที่เคยละเมิดกฎอุทยานฯ แต่ภายหลังก็ไม่ปฎิบัติเช่นนั้นอีก ซึ่งจากการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะทราบข้อกำหนดของอุทยานฯ เพียง 4 ข้อ จาก 19 ข้อ ที่อุทยานฯ ทำการประชาสัมพันธ์บ่อยครั้ง คือ ก) ไม่ส่งเสียงดัง ข) ไม่ทิ้งขยะโดยนำขยะกลับไปทิ้งบ้าน ค) ไม่ขับรถเร็ว และ ง) ไม่ให้อาหารสัตว์ โดยข้อกำหนดที่ทุกคนทราบกันดีที่สุด คือ “ไม่ให้อาหารสัตว์” 

3. ด้านจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 
จากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก พบว่า เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลในแต่ละภาคส่วนมีไม่เพียงพอ ซึ่งทางรัฐบาลก็ไม่สามารถให้การสนับสนุนได้เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก โดยสาเหตุที่เจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอเกิดจาก 3.1) รัฐบาลไม่มีเงินสนับสนุนเพียงพอ 3.2) ขาดการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างเหมาะสม เช่น เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามเป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้นำเจ้าหน้าที่บางส่วนไปช่วยดูแลด้านความปลอดภัยและให้บริการนัก ท่องเที่ยว ทำให้จำนวนเจ้าหน้าที่ที่ต้องลาดตระเวนผืนป่าจะน้อยลง 3.3) เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้บังคับบัญชา และ 3.4) รายได้และเบี้ยเลี้ยง ซึ่งส่งผลต่อความตั้งใจและความซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน ผลกระทบคือเจ้าหน้าที่ที่มีศักยภาพต้องลาออกและไปหางานใหม่ที่มีค่าตอบแทนที่ดีกว่า 

4. ด้านปัญหาและอุปสรรคของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์และการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน 
อุทยานฯ ยังมีปัญหาที่กำลังประสบและยังไม่สามารถแก้ไขได้ คือ 4.1) ปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง ซึ่งไม้พะยูงจัดเป็นไม้ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากเป็นไม้ที่มีคนต้องการสูง โดยเฉพาะในประเทศจีน (สุวรรณ ตั้งมิตรเจริญ, 2557) ในปี พ.ศ. 2557 “ดงพญาเย็น” และ “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” ได้ถูกคณะกรรมการมรดกโลก บรรจุวาระการพิจารณา “ดงพญาเย็น–เขาใหญ่” ขึ้นบัญชีมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตราย” ในประเด็นขยายถนนเส้น 304 และอีกส่วนหนึ่งคือผลจากการตัดไม้ทำลายป่าอย่างรุนแรง หลังจากการประชุมในครั้งนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เพื่อไม่ให้ถูกขึ้นบัญชีมรดกโลกในภาวะอันตราย และสถานการณ์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คณะกรรมการมรดกโลกจึงให้เวลาไทยดำเนินการตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไม้พะยูงให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2562 ซึ่งในปัจจุบัน ปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงถึงแม้ว่าจะมีสถานการณ์ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่นายทุนจ้างให้เข้ามาลักลอบตัดไม้พะยูงในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เนื่องจากเป็นแหล่งไม้พะยูงแหล่งสุดท้ายในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ 4.2) ปัญหาสัตว์ป่า เป็นปัญหาที่ควบคุมได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องที่นักท่องเที่ยวให้อาหารสัตว์ป่า ทำให้สัตว์ป่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนไป  และอาจทำให้สัตว์ป่าถูกรถชนจากการออกมารอรับอาหารจากมนุษย์ (พรชัย กัณห์อุไร, 2546) ซึ่งเรื่องการห้ามให้อาหารสัตว์อยู่ในบทห้ามของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตราที่ 16 ทางอุทยานฯ ก็มีการติดป้ายเตือน เพื่อประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าว ผลคือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ แต่นักท่องเที่ยวบางส่วนยังไม่ปฏิบัติตาม ส่วนปัญหาที่ช้างป่าออกมาเดินบนถนนในอุทยานฯ เจ้าหน้าที่ทำได้เพียงประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทราบและแนะนำแนวทางในการปฏิบัติเมื่อเจอสัตว์ป่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด และ 4.3) ปัญหาพฤติกรรมนักท่องเที่ยว แบ่งออกได้ 2 สาเหตุ สาเหตุแรกคือนักท่องเที่ยวบางส่วนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอุทยานฯ จากความไม่ทราบข้อกำหนดหรือทราบเพียงข้อกำหนดบางข้อที่ทางอุทยานฯ ประชาสัมพันธ์บ่อยครั้ง สาเหตุที่สองคือนักท่องเที่ยวทราบข้อกำหนดแต่ไม่ปฏิบัติตามเนื่องจากบางคนต้องการท้าทายเพราะความคึกคะนอง (อภิชญา พูลสวัสดิ์, 2556) 

5. ด้านความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องการขยายถนนเส้น 304 (ช่วงคอคอด) และการสร้างเส้นทางเชื่อมป่าฝั่งเขาใหญ่และทับลาน 
5.1) ผู้ให้ข้อมูลหลัก มีความคิดเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดี เพราะเป็นการพัฒนาด้านการคมนาคมควบคู่กับการอนุรักษ์ ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ต่าง ๆ กล่าวคือ ถนนเส้น 304 นั้นเป็นถนนที่แคบและลาดชัน ทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ในการพัฒนาครั้งนี้จะทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น ทั้งยังเป็นถนนเส้นหลักในขนส่งสินค้าระหว่างภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คำนึงถึงการลดผลกระทบทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์ป่า โดยได้ทำสะพานยกระดับคู่ เพื่อให้สัตว์ลอดไปมาระหว่างพื้นที่ป่าทั้ง 2 แห่งซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสัตว์ป่าในถิ่นอาศัย เรื่องของการขยายถิ่นอาศัย การเพิ่มขึ้นของแหล่งอาหาร การขยายพันธุ์ของสัตว์ป่าที่อาจใกล้สูญพันธุ์ และแก้ปัญหาการสืบพันธุ์ของสัตว์ป่าในสายเลือดเดียวกันเอง และ 5.2) ผู้ให้ข้อมูลรอง ส่วนใหญ่ไม่ทราบเรื่องโครงการเชื่อมผืนป่า ทราบเพียงเรื่องการขยายถนนเส้น 304 และมีทัศนคติเป็นกลางในการพัฒนาเส้นทางคมนาคมจาก 2 เลนเป็น 4 เลน คือ มีความเห็นที่สอดคล้องกัน หากการพัฒนาไม่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติจนเกินความเหมาะสม ผู้ให้ข้อมูลบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการขยายถนนเส้น 304 พวกเขาได้เล็งเห็นถึงข้อเสียที่จะเกิดขึ้น เช่น ปัญหามลพิษจากการก่อสร้างและมลพิษทางอากาศที่เกิดจากจากควันรถ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ป่ามากขึ้น แต่บางส่วนเห็นว่า การพัฒนานั้นจะส่งผลดีต่อธุรกิจ เพราะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางสะดวก สามารถสนองความต้องการของมนุษย์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้วิจัยได้ค้นพบสาเหตุที่ผู้ให้ข้อมูลรองไม่เห็นด้วยต่อการขยายถนนว่า ผู้ให้ข้อมูลรองส่วนใหญ่ทราบแต่เพียงเรื่องการขยายถนนเส้น 304 จึงทำให้ผู้ให้ข้อมูลรองเหล่านั้นแสดงความไม่เห็นด้วยเพราะขาดความเข้าใจถึงเหตุผลและข้อสนับสนุนในการพัฒนาดังกล่าว เมื่อผู้วิจัยได้ทำการอธิบายถึงเหตุผลโดยมีแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ ผู้ให้ข้อมูลรองเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ โดยแสดงความ เห็นด้วยกับการพัฒนาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าสื่อที่ประชาสัมพันธ์หากมีเนื้อหาครบถ้วน ชัดเจน เข้าใจง่าย เชื่อถือได้และมีการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง ก็จะส่งผลต่อความเข้าใจ ทัศนคติ และความคิดเห็นของประชาชนผู้รับสารดังกล่าว

6. ด้านอัตราของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในอนาคต 
ปัจจุบัน อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่กำลังดำเนินงานภายใต้มาตรการการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถกระทำได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว จำนวนเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังมีการประนีประนอมต่อผู้กระทำผิดพ.ร.บ.อุทยานฯ รวมถึงระบบการประสานงานระหว่างกันยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะสามารถคำนวนปริมาณนักท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ และพบว่า ขณะนี้ทางอุทยานฯ ได้มีมาตรการจองบ้านพักออนไลน์ ซึ่งระบบดังกล่าวคงที่แล้ว และกำลังเริ่มทดลองระบบจองเต๊นท์ออนไลน์อย่างจริงจัง แต่ ณ ตอนนี้ระบบจองเต๊นท์ออนไลน์ยังไม่คงที่เท่าที่ควร ทำให้ไม่สามารถคำนวณตัวเลขนักท่องเที่ยวที่พักค้างคืนในอุทยานฯ ได้อย่างแม่นยำ ผู้ให้ข้อมูลหลัก เสนอว่า หากจำนวนนักท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เต็ม ให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวไปกางเต๊นท์ที่อุทยานฯ ข้างเคียง นั่นคืออุทยานแห่งชาติทับลาน ปางสีดาและตาพระยาตามลำดับ เพื่อเป็นการลดผลกระทบที่จะเกิดกับธรรมชาติ รวมถึงผลกระทบด้านอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาห้องน้ำไม่เพียงพอและปัญหาขยะที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่า ปริมาณนักท่องเที่ยวส่งผลกระทบทางลบต่อทรัพยากรการท่องเที่ยว ทำให้พื้นที่เกิดความเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว มีสาเหตุมาจากการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งงบประมาณการสนับสนุนด้านบุคลากร ความรู้ ความสามารถและความเหมาะสมของบุคลากร วัฒนธรรมและขนบธรรมเนีบมประเพณี รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ทัศนคติต่อการให้ความสำคัญและคุณค่าที่มีต่อพื้นที่เหล่านั้น

ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
     1) แนวทางการแก้ไขด้านนโยบายและบุคลากรอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ควรจัดทำแผนการจัดการอุทยานฯ ให้เป็นรูปธรรม จัดสรรงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปีมาจัดจ้างบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการและพัฒนาในด้านต่าง ๆ อีกทั้งควรนำแนวคิด 7 Greens Concept มาปรับใช้ในส่วนของการท่องเที่ยวภายในอุทยานฯ เช่น 1.1) Green Heart (หัวใจสีเขียว) การจัดโครงการที่สร้างทัศนคติที่ดีและให้ ตระหนักถึงคุณค่าสิ่งแวดล้อม 1.2) Green Logistic (รูปแบบการเดินทางสีเขียว) รูปแบบการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 1.3) Green Community (ชุมชนสีเขียว) รณรงค์ให้ผู้ประกอบธุรกิจแสดงจุดยืนถึงความร่วมมือกันของชุมชนท้องถิ่น 1.4) Green Attraction (แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว) หมั่นดูแลรักษาและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานฯ ไม่ให้มีสภาพเสื่อมโทรม 1.5) Green Activity (กิจกรรมสีเขียว) จัดกิจกรรมสำหรับที่แฝงไปด้วยการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม 1.6) Green Service (การบริการสีเขียว) รณรงค์ให้ลดปริมาณการใช้วัสดุที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 1.7) Green plus (ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม) รณรงค์ให้มีการจัดกิจกรรมด้านการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม หรือรณรงค์ให้มีการบริจาครายได้ส่วนหนึ่งให้กับกองทุนเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติในประเทศไทย 
     2) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ควรหาวิธีจัดสรรงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกต้นไม้โตไวขึ้นมาทดแทนป่าสงวนที่ถูกทำลาย รวมไปถึงปลูกพืชและต้นไม้ที่เป็นอาหารของสัตว์ป่า เพื่อไม่ให้สัตว์ป่าออกมาหาอาหารในพื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลให้การดำรงชีวิตของสัตว์ป่าเปลี่ยนแปลงไป 
     3) แนวทางการแก้ไขด้านการป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ ควรให้ความสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในด้านเครื่องอุปโภคบริโภค ความปลอดภัย เครื่องมือสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ เพื่อเป็นแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า
     4) แนวทางการแก้ไขด้านการจัดการนักท่องเที่ยวและนันทนาการในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ควรจริงจังกับมาตรการการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวโดยนำประโยชน์จากเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านความถูกต้องแม่นยำของระบบฐานข้อมูล ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอต่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอให้มีการใช้ “National Parks of Thailand Card” คือ บัตรผ่านอุทยานฯ ที่ใช้แสดงตัวตนของผู้ถือบัตร โดยบัตร 1 ใบสามารถใช้ได้กับทุกอุทยานฯ ในประเทศไทย เป็นการลดการใช้กระดาษ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังสามารถนับสถิติของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวอุทยานฯ ในประเทศไทยได้อย่างแม่นยำอีกด้วย 
     5) แนวทางการแก้ไขด้านสังคม หน่วยงานภาครัฐ ควรมีนโยบายในกระตุ้นการสร้างจิตสำนึกที่ดี ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ของคนในชุมชน โดยมีการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาและปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง เสริมสร้างความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ส่งเสริมให้คนในชุนชนผลิตสินค้าให้โดดเด่นด้านเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และยังเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอีกด้วย

เอกสารอ้างอิง
ณัฐพล รัตนพันธ์. (2555). การศึกษาพฤติกรรมทำลายและการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของนักท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง จังหวัดนครศรีธรรมราช. งานวิจัยในอุทยานแห่งชาติภาคใต้. ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติ จังหวัดสุราษฎร์ธานี. 
พรชัย กัณห์อุไร. (2546). ผลกระทบของการให้อาหารสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่: กรณีศึกษาลิงกัง. (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต, คณะวิทยาศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์).
พิมพ์ลภัส พงศกรรังศิลป์. (2557). การจัดการการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาบ้านโคกไคร จังหวัดพังงา. วารสารเชิงวิชาการ Veridian E-Journal, 7, 650-665.
สุวรรณ ตั้งมิตรเจริญ. (2557). พะยูง: แนวทางการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรพันธุกรรม. เอกสารเผยแพร่ กรมป่าไม้, ปีที่ 6 ฉบับที่ 2, 11. 
อภิชญา พูลสวัสดิ์. (2556). พฤติกรรมในแหล่งนันทนาการตามบรรทัดฐานของผู้มาเยือนอุทยานแห่งชาติชาวไทยและชาวต่าวประเทศ : กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, คณะวนศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 


บทความอื่นๆ

Read More

บทความ: โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล การปรับตัวสู่การผลิตที่ปลอดภัยและยั่งยืน

Read More

บทความ: จากอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคตของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับการท่องเที่ยวประเทศไทย

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์