ความรู้และความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพอากาศภายในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร

บทคัดย่อ

การสำรวจความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) ที่เกี่ยวข้องของครูผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน (ศพด.) ในสังกัดกรุงเทพมหานครเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริการวิชาการแก่สังคมของมหาวิทยาลัยนวมิน ทราธิราช ปีงบประมาณ 2567 ทำการสำรวจด้วยแบบสอบถามกับครูผู้ดูแลเด็กปฐมวัย จำนวน 231 คน ในระหว่างกุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม 2567 ผลสำรวจข้อมูลครูผู้ดูแลเด็กพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีประสบการณ์ทำงานประมาณ 14 ปี ระดับการศึกษาครูในโรงเรียนร้อยละ 90 มีคุณวุฒิปริญญาตรีและสูงกว่า ในขณะที่ครู ศพด. ร้อยละ 68.4 มีคุณวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี ระดับความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารประมวลจากคะแนนเฉลี่ยที่ตอบได้ถูกต้อง ครูโรงเรียนได้คะแนนร้อยละ 64.9 ครู ศพด. ได้คะแนนร้อยละ 67.6 จัดอยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ ตามวิธีอิงเกณฑ์ของบลูม (Bloom) โดยครูส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการระบายอากาศและผลกระทบจากห้องปิดทึบ ส่วนระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของครู ศพด. ประมวลด้วยมาตรวัดลิเคิร์ท (Likert) 5 ระดับ พบว่ามีความรอบรู้ระดับ ‘ต่ำ’ (ร้อยละ 57.7) แสดงออกถึงความ ‘ยาก’ ของครู ศพด. ในการเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศ ในการทำความเข้าใจและตรวจสอบข้อมูลเพื่อนำไปใช้ดำเนินการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารหรือในห้องเด็ก รวมถึงความยาก ในการสื่อสารคุณภาพอากาศภายในอาคารให้กับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครองเด็ก เป็นต้น


1. บทนำ

เด็กปฐมวัยคือช่วงอายุตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึง 6 ปี [1] ซึ่งเป็นช่วงอายุที่สำคัญสำหรับพัฒนาการของเด็กต่อไปในอนาคต ด้วยร่างกาย อวัยวะ ภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ของเด็กปฐมวัยยังเจริญไม่เต็มที่การรับสัมผัสมลพิษอากาศสามารถทำลายสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในวัยผู้ใหญ่ได้ มีการประมาณอัตราการเสียชีวิตของเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีในสหภาพยุโรปมากกว่า 1,200 คนต่อปีมาจากสาเหตุมลพิษอากาศ [2] งานวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาทำการศึกษาไปข้างหน้า (Perspective cohort study) ถึงผลกระทบของมลพิษอากาศภายในอาคารต่อระบบประสาทพัฒนาการ (Neurodevelopment) ในกลุ่มตัวอย่างมารดาและบุตรจำนวน 4,735 คู่ พบว่า การรับสัมผัสมลพิษอากาศจากแหล่งกำเนิดในบ้านเรือน (Household air pollution) ได้แก่ การเผาไหม้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ก๊าซโพรเพน (Propane) หรือฟืนสำหรับประกอบอาหาร และควันบุหรี่มือสอง ระหว่างเด็กอยู่ในครรภ์จนถึงวัยทารกมีความสัมพันธ์กับพัฒนาการล่าช้าของเด็ก (Developmental delays) [3] ผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กปฐมวัยจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการปกป้องเด็กจากการรับสัมผัสมลพิษอากาศภายในที่อยู่อาศัยและในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

กรุงเทพมหานครเป็นเขตปกครองพิเศษของประเทศไทย มีโรงเรียนในสังกัดทั้งสิ้น 437 โรง ในจำนวนนี้เป็นโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา 327 โรง มีเด็กชั้นอนุบาลทั้งหมด 42,954 คน (ข้อมูล ปี 2567 จากสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร [4]) ในขณะที่มีศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน (ศพด.) ในสังกัดตามข้อมูลเผยแพร่ที่เป็นปัจจุบันในเว็บไซต์ข้อมูลเปิด Open Data Bangkok ทั้งสิ้น 271 ศูนย์ (ข้อมูลปี 2566 [5]) และมีเด็กก่อนวัยเรียนอายุ 2-6 ปี ทั้งหมด 18,163 คน (ข้อมูลปี 2565 [6]) ทั้งนี้ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร หมายถึง “สถานที่รับเลี้ยงเด็กและดูแลเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชน และดำเนินงานในรูปของคณะกรรมการภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการชุมชน โดยมีอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้อำนวยการเขตที่ศูนย์นั้นตั้งอยู่” [7] จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า หน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานครดูแลเด็กปฐมวัยในระหว่างวัน (Caregiving) มากกว่า 60,000 คน ความรู้ความเข้าใจในการจัดการมลพิษอากาศในอาคารรวมทั้งความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) ของผู้ดูแลเด็กจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เหมาะสมรวมกับการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพกลุ่มเปราะบางของกรุงเทพมหานคร

ความรอบรู้ด้านสุขภาพ นิยามโดยองค์การอนามัยโลกและแปลโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข คือ “ทักษะต่าง ๆ ทางการรับรู้และทางสังคม ซึ่งเป็นตัวกำหนดแรงจูงใจและความสามารถของปัจเจกบุคคลในการที่จะเข้าถึง เข้าใจ และใช้ข้อมูลในวิธีการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและบำรุงรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีอยู่เสมอ” [8] ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 6 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ (2) ความรู้ความเข้าใจ (3) ทักษะการสื่อสาร (4) การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของตนเอง (5) การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ และ (6) การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง [8] ดังจะเห็นได้ว่า ความรู้ความเข้าใจเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความรู้ความเข้าใจ หมายถึง “การมีความรู้และจำในเนื้อหาสาระสำคัญด้านสุขภาพ ความสามารถในการอธิบายถึงความเข้าใจในประเด็นเนื้อหาสาระด้านสุขภาพในการที่จะนำไปปฏิบัติตลอดจนการมีความสามารถในการวิเคราะห์ เปรียบเทียบเนื้อหา/แนวทางการปฏิบัติด้านสุขภาพได้อย่างมีเหตุผล” [8]

การสำรวจความรู้ความเข้าใจด้านการจัดการคุณภาพอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยของครูในโรงเรียนระดับชั้นอนุบาลและอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริการวิชาการแก่สังคมของมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อนำส่งข้อมูลให้กับกรุงเทพมหานครใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ได้เพิ่มเติมการสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพของเด็กปฐมวัยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษอากาศภายในอาคารกับอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก เนื่องด้วยสถานภาพทางตำแหน่งงานของอาสาสมัครที่ไม่ใช่ข้าราชการกรุงเทพมหานคร อาจมีผลต่อความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศภายในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

2. วิธีการสำรวจ

การสำรวจจัดทำช่วง กุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม 2567 ควบคู่ไปกับกิจกรรมหลักการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคารของโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลที่ค่าฝุ่นละอองในบรรยากาศของกรุงเทพมหานครค่อนข้างสูง โดยดำเนินกิจกรรมในเขตดุสิต จตุจักร บางซื่อ สาทร ราชเทวี บางกอกน้อย และธนบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมโครงการบริการวิชาการแก่สังคม มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 เกณฑ์คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถาม คือ ครูในโรงเรียนที่มีชั้นอนุบาล และอาสาผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน (ครู ศพด.) โดยทั้งหมดเป็นหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 231 คน ประกอบด้วย ครูโรงเรียนจำนวน 144 คน 9 โรงเรียน (เฉพาะเขตดุสิตจากทั้งหมด 9 โรง) และ ครู ศพด. จำนวน 87 คน 10 ศูนย์ (เขตดุสิต บางกอกน้อย ธนบุรี คลองเตย ราชเทวี สาทร จากทั้งหมด 42 ศูนย์) คิดเป็นอัตราตอบกลับแบบสอบถามเท่ากับร้อยละ 100 และ 94.5 ตามลำดับ

ส่วนที่ 1 ข้อมูลครูผู้ดูแลเด็กเล็ก จำนวน 5 ข้อ ประกอบด้วย เพศ อายุ ประสบการณ์ทำงานเป็นครูดูแลเด็กปฐมวัย สถานภาพการมีบุตร และ ระดับการศึกษา ประมวลข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา

ส่วนที่ 2 ความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย จำนวน 18 ข้อ คำถามประยุกต์จากแบบสอบถามที่ใช้ในงานวิจัยของ Ongwandee และคณะ [9] โดยมีคำตอบให้เลือกตอบ 3 ตัวเลือก คือ ‘ใช่’ ‘ไม่ใช่’ และ ‘ไม่แน่ใจ’ ซึ่งแต่ละคำถามมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว กรณีเลือกคำตอบ ‘ไม่แน่ใจ’ จะประเมินการตอบว่าไม่ถูกต้อง กำหนดให้ 1 คะแนนสำหรับข้อที่ตอบถูกต้อง คะแนนเต็มของผู้ตอบแต่ละบุคคลเท่ากับ 18 คะแนน ประมวลผลระดับความรู้ด้วยเกณฑ์ของ Bloom’s cut off point คือ น้อยกว่าร้อยละ 60 จัดเป็นระดับ‘ต่ำ’ อยู่ระหว่างร้อยละ 60-79 จัดเป็นระดับ‘ปานกลาง’ และ มากกว่าร้อยละ 80 จัดเป็นระดับ‘มาก’

ส่วนที่ 3 ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับมลพิษอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย จำนวน 10 ข้อ คำถามประยุกต์จากแบบสอบถามที่ใช้ในงานวิจัยของ Hou และคณะ [10] (สอบถามเฉพาะครู ศพด.) ใช้มาตรวัดของลิเคิร์ท (Likert) 5 ระดับ โดยเริ่มจากระดับที่ 1 ‘ยาก’ จนถึง ระดับที่ 5 ‘ง่าย’ โดยให้คะแนนตามระดับที่ 1 – 5 คะแนนเต็มของผู้ตอบแต่ละบุคคลเท่ากับ 50 คะแนน และคะแนนต่ำสุดเท่ากับ 10 คะแนน การประมวลผลระดับชั้นความรอบรู้ด้วยอันตรภาคชั้นดังนี้ ช่วง 10 – 29.9 คะแนน (น้อยกว่าร้อยละ 60) จัดเป็นระดับ‘ต่ำ’; ช่วง 30 – 39.9 คะแนน (ร้อยละ 60 – 80) จัดเป็นระดับ‘ปานกลาง’; และ ช่วง 40 – 50 คะแนน (มากกว่าร้อยละ 80) จัดเป็นระดับ‘มาก’

3. ข้อมูลภูมิหลังของผู้ตอบแบบสอบถาม

รูปที่ 1 แสดงข้อมูลภูมิหลังของผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้ดูแลเด็กปฐมวัยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง กลุ่มตัวอย่างครูโรงเรียนมีอายุเฉลี่ย 41 ปีสำหรับ และ ครู ศพด. อายุเฉลี่ย 46 ปี ทั้งสองกลุ่มตัวอย่างมีประสบการณ์ทำงานเป็นผู้ดูแลเด็กปฐมวัยใกล้เคียงกัน คือ 14 ปี ระดับการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างครูโรงเรียนส่วนใหญ่จบปริญญาตรีและสูงกว่าปริญญาตรีร้อยละ 90 ในขณะที่ครู ศพด. มีคุณวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีร้อยละ 68.4 ส่วนสถานภาพการมีบุตรนั้น จำนวนครูโรงเรียนมีบุตรประมาณครึ่งหนึ่ง ในขณะที่ครู ศพด. มีบุตรประมาณสองในสามของจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ

4. ความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1) ระดับความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

ผลการสำรวจความรู้แสดงดังรูปที่ 2 ระดับความรู้ของครูโรงเรียนและครู ศพด. ประมวลจากคะแนนเฉลี่ยที่ตอบได้ถูกต้องจาก 18 ข้อแสดงด้วยค่าร้อยละ พบว่า ครูโรงเรียนได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 64.9 ครู ศพด. ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 67.6 ซึ่งจัดอยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’

2) ความรู้ด้านมลพิษอากาศภายในอาคาร แหล่งกำเนิด และผลกระทบต่อสุขภาพ

คำถามที่ครูผู้ดูแลเด็กปฐมวัยตอบถูกมากกว่าร้อยละ 80 เป็นคำถามที่เกี่ยวกับความรู้ถึงผลกระทบต่อสุขภาพของมลพิษอากาศชนิดต่าง ๆ และกิจกรรมที่ก่อมลพิษอากาศภายในอาคาร เช่น การสูบบุหรี่ การใช้น้ำยาทำความสะอาดกลิ่นแรง เฟอร์นิเจอร์ใหม่ สี กาว ความอับชื้นในห้องเด็ก เป็นต้น แต่มีข้อสังเกตว่าการประกอบอาหารด้วยเตาแก๊สถูกเข้าใจโดยครูประมาณร้อยละ 40 ว่าไม่ก่อให้เกิดมลพิษอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ทั้งที่ข้อเท็จจริงการเผาไหม้เชื้อเพลิงก๊าซแอลพีจีสามารถปล่อยมลพิษอากาศ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) ซึ่งเป็นสารระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ไนโตรเจนไดออกไซด์ยังเป็นมลพิษอากาศที่สัมพันธ์กับโรคหืดในเด็ก [11]

C:\Users\Admin\Dropbox\Family Room\โครงการบริการวิชาการ 67 วพม\ปรับแก้ ผลสำรวจ ความรู้ การรับรู้  ด้านคุณภาพอากาศในสถานพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร 11.12.67\2.png

รูปที่ 1 ข้อมูลภูมิหลังของผู้ตอบแบบสอบถาม

C:\Users\Admin\Dropbox\Family Room\โครงการบริการวิชาการ 67 วพม\ปรับแก้ ผลสำรวจ ความรู้ การรับรู้  ด้านคุณภาพอากาศในสถานพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร 11.12.67\3.png

รูปที่ 2 ระดับความรู้ของครูโรงเรียนและครู ศพด.

3) ความรู้ด้านสารอินทรีย์ระเหย

ความรู้ด้านสารมลพิษอากาศประเภทสารอินทรีย์ระเหย (Volatile organic compounds, VOCs) เช่น การใช้สเปรย์ปรับอากาศในห้องมีผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ มีจำนวนครูประมาณครึ่งหนึ่งที่ทราบผลกระทบนี้ และมีครูจำนวนน้อยไม่ถึงร้อยละ 20 ที่ทราบความหมายของสัญลักษณ์ ‘Low VOC’ บนฉลากผลิตภัณฑ์ จากการสอบถามเพิ่มเติมครูส่วนใหญ่ไม่รู้จักสารอินทรีย์ระเหยที่เรียกว่า VOCs แต่ครูรับรู้ว่าวัสดุที่ระเหยกลิ่นแรง เช่น สี กาว เฟอร์นิเจอร์ใหม่ เป็นต้น ปล่อยสารมลพิษที่เป็นอันตรายต่อเด็ก อย่างไรก็ดีวัสดุตกแต่งภายในอาคาร วัสดุสำนักงาน เครื่องเขียน ยังสามารถปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่ายและกึ่งระเหย (Semi VOCs) ที่มนุษย์ไม่ได้กลิ่นหรือได้กลิ่นในระดับต่ำที่ไม่สร้างความรำคาญ เช่น กลุ่มอัลเคน (Alkanes) ที่มีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถได้กลิ่น (Odor threshold) สูง เป็นต้น หรือสารสารพทาเลต (Phthalates) ที่ผสมในพลาสติก ซึ่งเป็นกลุ่มสารมลพิษอากาศที่ยังไม่ค่อยไม่ได้รับการตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพเด็กเล็ก

นอกเหนือจากความรู้ที่ครูผู้ดูแลเด็กปฐมวัยยังมีไม่มากนักในเรื่องสารอินทรีย์ระเหย ประกอบกับการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับเด็กและวัสดุที่ใช้ภายในห้องเรียนนั้นบางส่วนอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานเขตที่โรงเรียนหรือ ศพด. ตั้งอยู่ ดังนั้นจึงอาจเป็นความยากของครูผู้ดูแลเด็กที่จะสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ปลอดสารระเหย (Free VOCs) สำหรับใช้งานภายในโรงเรียนหรือศูนย์เด็กที่ตนดูแลได้ทั้งหมด ด้วยนโยบายของกรุงเทพ มหานครในการมุ่งสู่ความเมืองน่าอยู่ด้านสุขภาพดี (9 ด้าน 9 ดีของผู้ว่ากรุงเทพมหานคร) โดยเฉพาะกับการคุ้มครองสุขภาพเด็กเล็กในสถานศึกษาของกรุงเทพมหานคร จำเป็นต้องวางแผนกลยุทธ์ให้ครอบคลุมตั้งแต่การควบคุมสารมลพิษที่แหล่งกำเนิด (Source control strategy) เช่น การกำหนดใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กเล็กภายในหน่วยงานสังกัดของกรุงเทพมหานครให้ปลอดจากสารระเหยที่เป็นอันตรายกับเด็กเล็ก เป็นต้น

4) ความรู้ด้านการระบายอากาศและวิธีปฏิบัติ

ความรู้การปฏิบัติเพื่อควบคุมมลพิษอากาศในอาคารด้วยการระบายอากาศพบว่า ครูผู้ดูแลเด็กยังมีความรู้ที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ตัวอย่างเช่น ครูมากกว่าร้อยละ 85 เข้าใจผิดว่าเครื่องปรับอากาศแบบแขวนผนัง (Split-type air conditioner) ที่ใช้โดยทั่วไปในโรงเรียนและศูนย์เด็กสามารถเพิ่มการระบายอากาศจากภายนอกเข้าสู่ภายในห้องเด็กได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ทำหน้าที่เพียงหมุนเวียนอากาศที่อยู่ภายในห้องมาทำความเย็นที่คอยล์เย็น (Cooling coil) ในตัวเครื่องเท่านั้น ไม่มีการแลกเปลี่ยนหรือเติมอากาศใหม่จากภายนอกเข้าสู่ในห้องแต่อย่างใด โดยทั่วไปการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศมักปฏิบัติพร้อมกับการปิดประตูหน้าต่างห้อง ซึ่งผลสำรวจพบว่ามีครูจำนวนครึ่งหนึ่งเข้าใจไม่ถูกต้องว่าการปิดห้องเด็กให้มิดชิด (และเปิดเครื่องปรับอากาศประเภทนี้) จะไม่ได้ทำให้คุณภาพอากาศภายในห้องแย่ลงจากการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และจึงเข้าใจต่อเนื่องว่าห้องปิดสนิทไม่มีผลกระทบอันใดต่อสุขภาพของเด็ก ทั้งนี้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในห้องจากการหายใจของเด็กเป็นเครื่องชี้ถึงมลพิษอากาศประเภทอื่นที่สะสมในห้อง เช่น ละอองจุลชีพแขวนลอย (Bioaerosols) ที่ก่อโรคติดเชื้อได้ เป็นต้น [12] อย่างไรก็ดีครูส่วนใหญ่ทั้งครูโรงเรียนและครู ศพด. มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าพัดลมดูดอากาศแบบติดผนัง (Wall-mounted exhaust fan) สามารถเพิ่มการระบายอากาศของห้องได้ ซึ่งความรู้นี้มีประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้นำไปใช้ปฏิบัติได้ทันทีสำหรับห้องเรียนเด็กที่มีการติดตั้งพัดลมดูดอากาศไว้อยู่แล้ว แต่ไม่มีการเปิดใช้เนื่องจากยังไม่ตระหนักถึงผลเสียของสภาวะห้องปิดสนิท (Airtight room) รวมถึงการปฏิบัติใช้วิธีการระบายอากาศตามธรรมชาติด้วยการเปิดประตูหน้าต่างในช่วงเวลาที่อากาศด้านนอกอาคารมีมลพิษต่ำ ซึ่งจัดเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก ครูผู้ดูแลเด็กสามารถปฏิบัติได้เอง

ความรู้ความเข้าใจของครูต่อรูปแบบของห้องเรียนปลอดฝุ่นพบว่า ครูจำนวนร้อยละ 70-80 เข้าใจความหมายในลักษณะกายภาพคือ ห้องปิดที่ใช้เครื่องฟอกอากาศ (แบบเคลื่อนย้ายได้ – Portable air cleaning device) ภายในห้องเรียน ซึ่งคาดว่ามาจากข่าวสารที่ครูในสังกัดกรุงเทพมหานครรับทราบถึงนโยบาย ‘พัฒนาพื้นที่ปลอดฝุ่น (BKK Clean Air Area) ด้วยต้นไม้สำหรับพื้นที่เปิด ด้วยเครื่องฟอกสำหรับพื้นที่ปิด อย่างไรก็ดีห้องปลอดฝุ่นด้วยหลักการทางวิศวกรรม คือ ห้องอากาศสะอาดที่ใช้ระบบการเติมอากาศสะอาดเข้าสู่ภายในห้องโดยควบคุมให้มีความดันภายในห้องสูงกว่าความดันบรรยากาศเล็กน้อย (Positive pressure fresh air system, PPF) [13] เพื่อสามารถป้องกันการรั่วไหลของอากาศที่ปนเปื้อนฝุ่นละอองจากภายนอกแทรกซึมตามกรอบอาคาร (Air infiltration) และรักษาระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ให้สะสมสูงเกินไป

5) อาการเจ็บป่วยจากคุณภาพอากาศในอาคารที่ไม่ดี

จากผลสำรวจครูถึงอาการเจ็บป่วยของเด็กถ้าเด็กอยู่ในห้องที่คุณภาพอากาศไม่ดีสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ไอ จาม, คัดจมูก น้ำมูกไหล, และ ระคายเคืองตา แสบตา ซึ่งเป็นอาการในกลุ่มการระคายเคืองจากมลพิษอากาศ [14] คุณภาพอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่ไม่ดีจะส่งกระทบที่รุนแรงมากในกลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัวระบบทางเดินหายใจ ผลสำรวจผู้ปกครองเด็กปฐมวัยจำนวน 1,067 คน จากศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 20 แห่งเมื่อปี พ.ศ. 2566 โดยกลุ่มตัวอย่างรวมผู้ปกครองบุตรหลานของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน 10 ศูนย์ในโครงการนี้ด้วย พบว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาช่วงที่ทำการสำรวจมีเด็กจำนวนเกือบร้อยละ 10 ต้องพบแพทย์อย่างเร่งด่วนจากปัญหาระบบทางเดินหายใจ และมีจำนวนร้อยละ 9 ต้องหยุดเรียน [15]

5. ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับมลพิษอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1) ระดับความรอบรู้

การสำรวจความรอบรู้กับเฉพาะครูในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน การประมวลผลจากคำถามทั้ง 10 ข้อดังแสดงในรูปที่ 3 พบว่าระดับความรอบรู้ของครู ศพด. จัดอยู่ระดับ ‘ต่ำ’ (ร้อยละ 57.7) สามารถวิเคราะห์ความสามารถในแต่ละด้านของความรอบรู้ได้ดังนี้

C:\Users\Admin\Dropbox\Family Room\โครงการบริการวิชาการ 67 วพม\ปรับแก้ ผลสำรวจ ความรู้ การรับรู้  ด้านคุณภาพอากาศในสถานพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร 11.12.67\4.png

รูปที่ 3 ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของครู ศพด.

2) ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล

คำถามข้อที่ 1 และ 2 แสดงคะแนน 2.93 และ 2.82 จากคะแนนเต็ม 5 สะท้อนให้เห็นว่าครู ศพด. มีความสามารถจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศทั้งภายในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนรวมถึงข้อมูล ด้านผลกระทบของมลพิษอากาศต่อเด็ก ถ้าพิจารณารวมกับผลสำรวจด้านความรู้จะเห็นได้ว่าครูยังมีความรู้ไม่มากที่เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษอากาศบางประเภท เช่น สารอินทรีย์ระเหยจากอุปกรณ์การเรียน จากวัสดุที่ใช้ภายในห้องเรียน เป็นต้น

ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศนั้นเป็นปัจจัยกำหนดต่อเนื่องถึงความสามารถของครูในการตรวจสอบคุณภาพอากาศทั้งภายในและภายนอกอาคารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย จากการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทำให้ทราบได้ว่าช่องทางที่ครูใช้ตรวจสอบค่าคุณภาพอากาศบริเวณใกล้เคียงที่ตั้งของศูนย์เด็ก คือ แอพพลิเคชั่นของหน่วยงานราชการ เช่น AirBKK และ Air4Thai เป็นต้น ซึ่งสถานีตรวจวัดบางแห่งตั้งอยู่ห่างไกลจากศูนย์เด็กหลายกิโลเมตรอาจไม่สามารถสะท้อนข้อมูลที่เป็นจริงในสถานที่ที่เด็กอยู่ เช่น ระดับก๊าซโอโซน ไนโตรเจนไดออกไซด์ในบรรยากาศมีความผันแปรตามลักษณะสภาวะแวดล้อมค่อนข้างมาก เป็นต้น นอกจากนี้ครูเองไม่มีอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในห้องเด็กเพื่อการเฝ้าระวังได้อย่างทันท่วงที (หมายเหตุ เฉพาะศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนที่เข้าร่วมโครงการนี้ 10 ศูนย์ได้รับการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศจากการบริจาคของบริษัทเอกชนเมื่อเดือนเมษายน 2567 และได้รับการสอนวิธีการใช้งานและการอ่านข้อมูล ในขณะที่ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนที่เหลือโดยส่วนใหญ่ไม่มี หรือบางแห่งมีการติดตั้งเซนเซอร์ของหน่วยงานอื่นที่บริจาคแต่ครูไม่ทราบวิธีการเข้าดูข้อมูลคุณภาพอากาศ) การตรวจวัดค่าคุณภาพอากาศในสถานที่ตั้งอย่างเป็นปัจจุบัน (Real time) รวมทั้งการแสดงข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย มองเห็นรับรู้ได้สะดวก (Air quality data visualization) จึงเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของการเฝ้าระวังด้วยตนเองของผู้ได้รับผลกระทบและผู้อยู่ในความดูแล [16]

3) ความสามารถในการเข้าใจและประเมินค่าคุณภาพอากาศ

ข้อคำถามความสามารถเข้าใจถึงค่ามลพิษอากาศภายนอกอาคารที่แสดงโดยหน่วยงานของรัฐ ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ หรือ กรุงเทพมหานคร ครูประเมินความยากง่ายด้วยคะแนน 2.92 จากคะแนน 5 และคำถามความสามารถในการประเมินคุณภาพอากาศภายในสถานที่ทำงาน ได้คะแนน 2.95 จากคะแนน 5 ความสามารถในการเข้าใจและความสามารถในการประเมินข้อมูลนั้นเป็นปัจจัยเนื่องกัน โดยส่วนใหญ่ ค่าคุณภาพอากาศในบรรยากาศที่หน่วยงานราชการเปิดเผยต่อสาธารณะมักแสดงด้วยตัวเลขความเข้มข้น ที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจวัดได้ จึงควรมีการแปลความหมายในรูปสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่ายเพื่อแสดง ‘ระดับคุณภาพอากาศ (Level of air quality)’ ด้วยเกณฑ์ที่จำแนกตามความรุนแรงของผลกระทบต่อสุขภาพเด็กปฐมวัยให้สำหรับครูผู้ดูแลเด็ก กรุงเทพมหานครเองได้ใช้สัญลักษณ์สีแจ้งเตือนคุณภาพอากาศทั้งหมด 5 สี แบ่งตามค่าฝุ่นละออง PM2.5 ได้แก่ สีฟ้า 0 – 15.0 มคก./ลบม. คุณภาพอากาศดีมาก, สีเขียว 15.1 – 25.0 มคก./ลบม. คุณภาพอากาศดี, สีเหลือง 25.1 – 37.5 มคก./ลบม. คุณภาพอากาศปานกลาง, สีส้ม 37.6 – 75.0 มคก./ลบม. คุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และสีแดง 75.1 มคก./ลบม. ขึ้นไป [17] อย่างไรก็ดีการแบ่งช่วงเกณฑ์ดังกล่าวอิงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั่วไป ไม่ได้เป็นเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อการปกป้องกลุ่มเปราะบางอย่างเช่นเด็กปฐมวัยซึ่งมีความไว (Sensitization) ต่อสารมลพิษอากาศสูงกว่าประชากรผู้ใหญ่ จึงเป็นประเด็นที่หน่วยงานรัฐควรพิจารณาปรับใช้ค่าเกณฑ์แนะนำให้เหมาะสมกับบริบทกลุ่มผู้ได้รับมลพิษอากาศและสถานที่ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ นอกจากนี้หน่วยงานราชการยังสื่อสารข้อมูลมลพิษอากาศประเภทอื่นน้อยมากเมื่อเทียบกับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ทั้งที่ก๊าซมลพิษ เช่น โอโซน ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น ส่งผลกระทบมากต่อสุขภาพเด็กเล็กเช่นกัน

4) ความสามารถในการนำข้อมูลมาใช้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมและการมีส่วนร่วม

คำถามครูมีความสามารถยากง่ายเพียงใดในการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพอากาศในอาคารมาใช้ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในอาคารเพื่อให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ครูประเมินด้วยคะแนนเฉลี่ย 2.55 จากคะแนน 5 ซึ่งได้คะแนนใกล้เคียงกับคำถามความสามารถมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้คุณภาพอากาศในอาคารที่ท่านทำงานอยู่ให้ดีขึ้น ได้คะแนน 2.54 ความสามารถในการเข้าถึงและเข้าใจข้อมูลคุณภาพอากาศมีผลต่อความสามารถในการนำข้อมูลมาปฏิบัติใช้งาน ดังนั้นการเสริมพลังความรู้ (Empowerment) ด้วยการมีช่องทางที่ครูสามารถเข้าถึงข้อมูลคุณภาพอากาศได้อย่างง่ายและสะดวกแล้ว ควรมีการแนะนำแนวทางปฏิบัติอย่างง่ายเพื่อใช้ป้องกันหรือลดมลพิษอากาศภายในห้องเด็กควบคู่ไปพร้อมกันด้วย เช่น การแสดงด้วยสัญลักษณ์กระพริบไฟแจ้งเตือนให้ ‘เปิดประตูหน้าต่าง’ บนแผงแสดงค่าคุณภาพอากาศ (Air quality monitoring board) ที่ติดตั้งในห้องเด็กเมื่อเซนเซอร์วัดระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือ PM2.5 มีค่าสูงเกินเกณฑ์ความปลอดภัยต่อสุขภาพเด็ก เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องต่อการลดทอนความสามารถของครูอาสาสมัครในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในการนำข้อมูลมาใช้ปฏิบัติที่อาจมีมากกว่าครูในโรงเรียน เช่น ภารกิจดูแลเด็กเล็กที่ต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างกว่า รวมทั้งข้อจำกัดของการเข้าถึงหรือการได้มาซึ่งทรัพยากรที่ต้องใช้ในการปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน หรือแม้แต่สวัสดิการที่กรุงเทพมหานครให้กับตำแหน่ง ‘อาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก’ ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการปฏิบัติงาน เป็นต้น

5) ความสามารถในการสื่อสารเรื่องคุณภาพอากาศภายในอาคาร

ความสามารถในการสื่อสารเรื่องคุณภาพอากาศภายในอาคารและผลกระทบต่อสุขภาพให้ผู้อื่น ครูประเมินให้คะแนนเฉลี่ย 2.76 จากคะแนน 5 ซึ่งอาจเป็นผลจากความยากในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและความรู้ความเข้าใจยังไม่มากพอ การเสริมพลังความรู้ให้กับครูผู้ดูแลเด็กจึงมีความสำคัญมาก สามารถส่งผลเป็นแรงกระเพื่อมต่อการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้ปกครองเด็กปฐมวัยเนื่องด้วยครูมีอิทธิพลต่อผู้ปกครอง ในการเลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำเพื่อสร้างคุณภาพอากาศที่ดีภายในบ้านพักที่เด็กอาศัย ซึ่งเป็นข้อมูลจากผลสำรวจด้านทัศนคติแต่ไม่ได้นำเสนอในบทความนี้

6. บทสรุป

โครงการบริการวิชาการแก่สังคมของมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ประจำปีงบประมาณ 2567 ได้สำรวจข้อมูลของครูผู้ดูแลเด็กปฐมวัยในสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการจัดการคุณภาพอากาศที่ดีภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย อันได้แก่ โรงเรียน และ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ผลการสำรวจด้วยแบบสอบถามกับครูผู้ดูแลเด็กจำนวน 231 คน ในระหว่างกุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม 2567 พบว่าระดับความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศภายในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยของทั้งครูโรงเรียนและครูศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน จัดอยู่ระดับปานกลาง ส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการระบายอากาศและผลกระทบจากห้องปิดทึบต่อคุณภาพอากาศที่แย่ลงและสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพเด็กเล็กได้ รวมถึงครูยังมีความรู้เรื่องสารมลพิษอากาศประเภทอื่น ๆ ไม่มาก (นอกเหนือจากฝุ่น PM2.5) เช่น สารอินทรีย์ระเหย สารอินทรีย์กึ่งระเหย เป็นต้น ที่มาจากเฟอร์นิเจอร์ วัสดุ เครื่องใช้ภายในห้องเด็ก ซึ่งครูควรได้รับการเสริมความรู้และมีแหล่งเข้าถึงข้อมูล ที่สะดวก การปฏิบัติในระดับของนโยบายกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องสุขภาพเด็กปฐมวัย อาจจำเป็นต้องทบทวนแผนกลยุทธ์ที่ดำเนินการอยู่เพื่อให้ครอบคลุมถึงการสร้างอากาศที่ปลอดภัย (safe air) ในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กที่มิใช่เพียงแค่ปัญหา PM2.5 จากแหล่งกำเนิดในบรรยากาศภายนอกเท่านั้น

เมื่อพิจารณาผลสำรวจของครูอาสาในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนของกรุงเทพมหานคร มีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากความยากของการเข้าถึงข้อมูลและเข้าใจค่าคุณภาพอากาศ และมีผลต่อความสามารถในการนำข้อมูลไปใช้และการมีส่วนร่วมเพื่อปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในอาคารให้ได้คุณภาพอากาศที่ดีในห้องเด็ก นอกเหนือจากเรื่องความรู้และความรอบรู้แล้วศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบร่วมต่อการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคาร เช่น โครงสร้างการบริหารงาน งบประมาณ ความเป็นเจ้าของในที่ดินสิ่งปลูกสร้างอาคาร เป็นต้น หรือแม้แต่ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมของของครูอาสา ซึ่งเหตุเหล่านี้มีความเฉพาะและแตกต่างจากกรณีของครูที่ทำงานในโรงเรียนภายใต้สังกัดเดียวกันคือกรุงเทพมหานคร

นอกเหนือจากการดำเนินตามนโยบาย กรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration) ควรมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน (Citinzen participation) เพื่อขับเคลื่อนการสร้างอากาศสะอาดสำหรับเด็กปฐมวัยในอาคารสาธารณะ เช่น โรงเรียน และ ศูนย์เด็กเล็ก เป็นต้น ผ่านกระบวนการตั้งแต่ การให้ข้อมูล การให้คำปรึกษาหรือการรับฟัง การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม การสร้างความร่วมมือ และการมอบอำนาจตัดสินใจให้กับประชาชน ด้วยการขับเคลื่อนในทุกกระบวนการที่ต้องใช้ข้อมูล เป็นฐาน

กิตติกรรมประกาศ

ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฏฐา ฐานีพานิชสกุล วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพอากาศในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่ใช้สำรวจในโครงการบริการวิชาการแก่สังคมในครั้งนี้

__________________________________________________________________________________________________________

เอกสารอ้างอิง

[1] UNICEF Thailand Representative. Early childhood development. https://www.unicef.org/thailand/what-we-do/early-childhood-development

[2] European Environment Agency. Air pollution and children's health. https://www.eea.europa.eu/publications/air-pollution-and-childrens-health

[3] Grippo, A., Zhu, K., Yeung, E. H., Bell, E. M., Bonner, M. R., Tian, L., Mendola, P., & Mu, L. (2023). Indoor air pollution exposure and early childhood development in the Upstate KIDS Study. Environmental Research, 234, 116528. https://doi.org/https://doi.org/10.1016/j.envres.2023.116528

[4] สำนักการศึกษา. 2567. eBook รายงานสถิติการศึกษาโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2567. https://webportal.bangkok.go.th/bangkokeducation/page/sub/22894/%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2-2567

[5] ข้อมูลเปิดกรุงเทพมหานคร. (2566) ข้อมูลศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานคร (update ปี 2566). https://data.bangkok.go.th/dataset/children/resource/566c7560-2ab6-49fa-906c-2aac36f43aa4

[6] ข้อมูลเปิดกรุงเทพมหานคร. (2566) จำนวนเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานครทั้งหมด (update ปี 2565). https://data.bangkok.go.th/dataset/children/resource/f49c8910-636b-4431-a639-8dfac3690b8c

[7] สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร. (2015) ความหมายของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน. https://webportal.bangkok.go.th/social/page/sub/18742/%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99

[8] ชินตา เตชะวิจิตรจารุ. (2561) ความรอบรู้ทางสุขภาพ: กุญแจสำคัญสู่พฤติกรรมสุขภาพและผลลัพธ์สุขภาพที่ดี. วารสารพยาบาลทหารบก, 19(พิเศษ), 1. https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JRTAN/article/view/130366

[9] Ongwandee, M., Khianthongkul, K., Panyametheekul, S., Yongprapat, K., Srinaka, K., & Morris, J. (2024). Bangkok school indoor air quality: monitoring and intervention by positive pressure fresh air system. Environmental science and pollution research international, 31(17), 25454–25467. https://doi.org/10.1007/s11356-024-32843-8

[10] Hou, W. H., Huang, Y. C., Lu, C. Y., Chen, I. C., Lee, P. C., Lin, M. Y., Wang, Y. C., Sulistyorini, L., & Li, C. Y. (2021). A national survey of ambient air pollution health literacy among adult residents of Taiwan. BMC public health, 21(1), 1604. https://doi.org/10.1186/s12889-021-11658-z

[11] Wynne Armand, (2024) Have a gas stove? How to reduce pollution that may harm health https://www.health.harvard.edu/blog/have-a-gas-stove-how-to-reduce-pollution-that-may-harm-health-202209072811 Harvard Health Publishing

[12] Edwards DA, Man JC, Brand P, Katstra JP, Sommerer K, Stone HA, Nardell E, Scheuch G. Inhaling to mitigate exhaled bioaerosols. Proc Natl Acad Sci U S A. 2004 Dec 14;101(50):17383-8. doi: 10.1073/pnas.0408159101. Epub 2004 Dec 6. PMID: 15583121; PMCID: PMC536048.

[13] Haug, A. (30 Mar 2020). Air Purifier vs. Positive Pressure Fresh Air System – an unfair Battle? https://www.airgradient.com/blog/air-purifier-vs-positive-pressure-fresh-air-system-an-unfair-battle/

[14] UNICEF (2024). Air Pollution. What is air pollution and how to protect your family from it. https://www.unicef.org/parenting/emergencies/air-pollution?gad\_source=1

[15] วิทยาลัยพัฒนามหานคร (2566) รายงานผลการดำเนินกิจกรรมตรวจวัดคุณภาพอากาศศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร. โครงการบริการวิชาการโดย วิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ปีงบประมาณ 2566.

[16] Chen, P. (2019). Visualization of real-time monitoring datagraphic of urban environmental quality. EURASIP Journal on Image and Video Processing, 2019(1), 42. https://doi.org/10.1186/s13640-019-0443-6

[17] สำนักสิ่งแวดล้อม. (2566) เดินหน้ากิจกรรมธงคุณภาพอากาศ ขยายสู่พื้นที่ชุมชนและ 50 สำนักงานเขตของ กทม. ให้ประชาชนรู้เท่าทันฝุ่น. 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 https://webportal.bangkok.go.th/environmentbma/page/sub/6671/0/7/info/374888/


บทความอื่นๆ

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์