การอ้างอิง: ภูมิฐวัศ สัมพันธ์พานิช และ กาญจน์นภา พงศ์พนรัตน์. (2562). เฮมพ์…รากเหง้าแห่งวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาวม้ง. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 23 (ฉบับที่ 3).


บทความ: เฮมพ์…รากเหง้าแห่งวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาวม้ง

ภูมิฐวัศ สัมพันธ์พานิช และ กาญจน์นภา พงศ์พนรัตน์
วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


วิถีชีวิตและวัฒนธรรมชาวม้ง
ในภูมิภาคอุษาคเนย์ ภาคการเกษตรเป็นส่วนสำคัญในการดำรงชีพของประชากรเป็นส่วนใหญ่ ก่อให้เกิดวิถีชีวิต ประเพณี รวมถึงค่านิยมและความเชื่อต่าง ๆ ที่สืบต่อกันมาหลายรุ่นอายุคนจนเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อการทำเกษตรกรรม โดยมีการประกอบอาชีพทางการเกษตรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจนกลายมาเป็นวัฒนธรรมชุมชนเกษตรกรรมที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่ว เช่น วัฒนธรรมข้าวที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่อง “แม่โพสพ” เป็นวัฒนธรรมความเชื่อด้านการเห็นคุณค่า และประโยชน์ของข้าวที่นำมารับประทาน และใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ

นอกจากนี้ยังมีประเพณีการนำน้ำมาใช้ในการทำการเกษตรกับความเชื่อเรื่องของ “พระแม่คงคา” การใช้ดินในการเพาะปลูกกับความเชื่อเรื่องของ “พระแม่ธรณี” เป็นต้น ซึ่งล้วนสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องของการดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพิงธรรมชาติรอบตัว หรือที่เรียกว่า “นิเวศวัฒนธรรม” ประกอบไปด้วย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยรอบในการตั้งถิ่นฐาน วิถีชีวิตในการดำรงชีพเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างคุณค่าความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างชีวิตกับสิ่งแวดล้อม อันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตที่สูง อย่างเช่น พื้นที่ภูเขาหรือดอย ในเขตที่ราบหรือที่ราบสูง อย่างเช่น พื้นที่แทบภาคกลางหรือภาคตะวันออกเฉียง เหนือ หรือแม้แต่เขตชายฝั่งทะเลทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศ โดยในแต่ละพื้นที่ล้วนมีวัฒนธรรมเกษตรกรรมที่แตกต่างกัน มีการเพาะปลูกพืชการเกษตรแตกต่างกันตามความเหมาะสมของพื้นที่ และสภาพอากาศ รวมถึงความแตกต่างทางวิถีชีวิต และความเชื่อ ซึ่งรวมแล้วเรียกว่า “รากเหง้าทางวัฒนธรรม”

เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มชาติพันธุ์ม้งกับการปลูกกัญชง จัดว่าเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาที่ชัดเจนในเรื่องการศึกษาวัฒนธรรมเกษตรกรรมที่ผสมผสานอยู่ในรากเหง้าวัฒนธรรมที่มีการสืบต่อกันมาจากรุ่นบรรพบุรุษ และยังคงมีการดำเนินอยู่ในปัจจุบัน พืชทางการเกษตรที่เรียกว่า “กัญชง” หรือ “เฮมพ์” ดังกล่าวนี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับต้น “กัญชา” โดยเฮมพ์หรือกัญชงนั้นมีบทบาทต่อวิถีการดำรงชีพของชาวม้งเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในการเร่งพัฒนาสังคมในด้านต่าง ๆ ไปอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ยังคงมีชาวม้งที่อาศัยตามชุมชนบนพื้นที่ราบสูงตามดอยยังคงมีการทอผ้าจากเส้นใยเฮมพ์ตามวิถีชีวิต และความเชื่อดั้งเดิม เพื่อการดำรงชีพทั้งทอเพื่อสวมใส่เองในครัวเรือน และเพื่อจำหน่ายสู่ตลาด นอกจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากเส้นใยเฮมพ์ที่ได้จากลำต้นเรียกว่า Long bast fiber ซึ่งเป็นเส้นใยที่เหนียวที่สุดในโลก โดยมีกระบวนการทำเพื่อให้ได้เส้นใย และนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอ (สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาคเหนือ, 2544)  

แม้ว่า “เฮมพ์” จะมีบทบาทต่อวิถีชีวิตชาวม้งมานานตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเชื่อ ความศรัทธา ที่มีมาตั้งแต่อดีต แต่เนื่องจาก เฮมพ์ ถูกจัดว่าเป็นพืชผิดกฎหมายเนื่องจากเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 พ.ศ. 2562 จึงถือว่าการปลูกโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่เนื่องด้วยบริบททางวัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่มีการสืบทอดมายาวนานนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงพบว่าชาวม้งยังมีการปลูกเฮมพ์เพื่อนำเส้นใยมาทำสิ่งทอต่าง ๆ อีกทั้งการปลูกเฮมพ์เพื่อนำมาทอผ้าเป็นวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมของชาวม้ง จึงทำให้กฎหมายยังไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเพราะขัดกับสิ่งที่เป็นวิถีชีวิตชาวม้งอย่างมาก หากแต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสามารถควบคุมการผลิตได้ตามอำนาจและหน้าที่หรือด้วยข้อตกลงร่วมกัน ดังนั้นในสภาวะการณ์ปัจจุบัน เราจึงยังสามารถพบเห็นการปลูกเฮมพ์ของชาวม้งบนพื้นที่ราบสูงได้ในหลายพื้นที่ 

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เมื่อรัฐบาลไทยได้รับกระแสพระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งได้มีพระราชดำรัสรับสั่งให้รัฐบาลไทยช่วยสนับสนุน และส่งเสริมให้เกษตรกรไทยได้ปลูกเฮมพ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลพบพระ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่พิเศษที่ทางรัฐบาลมีการประกาศให้มีการส่งเสริม และสนับสนุนการปลูกเฮมพ์เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ในครัวเรือน และในเชิงอุตสาหกรรม เฮมพ์จึงยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวม้งที่บ้านใหม่ยอดคีรี ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก สืบต่อมาในปัจจุบัน

ชาวม้งมีความเชื่อว่า เมล็ดกัญชงหรือเฮมพ์ที่ปลูกนั้น เป็นเมล็ดที่ได้รับการประทานมาจากพระเจ้า และยังเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานความอุดมสมบูรณ์มาให้มนุษย์อีกด้วย นอกจากจะมีการปลูกเฮมพ์เพื่อนำเส้นใยมาทอผ้า เพื่อใช้นุ่งห่มในการดำรงชีวิตแล้ว ยังมีการใช้เฮมพ์ในการประกอบพิธีกรรม และความเชื่อต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การสานเส้นใยเฮมพ์ให้เป็นรองเท้า เพื่อใช้สำหรับคนตายใส่เดินทางไปสวรรค์ การต่อเส้นใยเฮมพ์ให้มีความยาว เพื่อใช้เป็นสายสิญจน์ หรือแม้กระทั่งการนำเฮมพ์มาใช้ในพิธีที่สำคัญ คือ “พิธีอัวเน้ง” หรือ “พิธีเข้าทรง” ซึ่งเป็นงานประเพณีที่สำคัญของชาวม้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ

นอกจากนี้ตามวัฒนธรรมของชาวม้งนั้น ผู้หญิงหรือภรรยาของทุกบ้านจะมีหน้าที่ภายในบ้าน คือ การทอผ้า โดยผู้หญิงทุกคนจะต้องทอผ้าเป็น เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีเสื้อผ้าขาย ทำให้ต้องมีการทอผ้า เพื่อใช้ในครัวเรือนกันเอง โดยการทอผ้านั้นจะต้องทอให้ทันงานวันขึ้นปีใหม่ เพื่อที่จะได้สวมใส่ผ้าใหม่ เพื่อเฉลิมฉลองต้อนรับวันปีใหม่ด้วย แต่ละครัวเรือนจะมีการเริ่มปลูกเฮมพ์ตั้งแต่เดือนเมษายน และจะเริ่มทอผ้าตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงเดือนกันยายน จากนั้นจึงนำผ้าทอมาย้อมคราม หากผู้หญิงบ้านไหนไม่ขยัน ก็จะทำให้ทอผ้าเสร็จไม่ทันใช้ใส่วันขึ้นปีใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคนทอผ้าบ้านนั้นเป็นคนขี้เกียจ ดังนั้นผู้หญิงทุกครัวเรือนจึงต้องทอผ้าเป็น หากทอผ้าไม่เป็น ผู้หญิงคนนั้นจะหาสามีไม่ได้ เพราะมีความเชื่อกันว่า ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรไม่เป็น ซึ่งความเชื่อดังกล่าวนี้ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

จากที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการทอผ้าจากใยกัญชงหรือเฮมพ์ที่พบได้ในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก สะท้อนถึงความเชื่อ ความศรัทธา จารีต และประเพณี ตลอดจนกระบวนการ และวิธีการทอ วิธีลอกเส้นใยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละชุมชนหรือหมู่บ้าน ซึ่งกลายเป็น “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ที่ประกอบไปด้วย ความรู้ ความสามารถ รวมกับค่านิยม และความเชื่อเรื่องระหว่างคนกับธรรมชาติ ตลอดจนคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยผ่านกระบวนการทางจารีตประเพณี วิถีชีวิต การทำมาหากิน และพิธีกรรมต่าง ๆ ดังเช่น กลุ่มชาวม้งที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ที่มีการปลูกเฮมพ์ และมีการลอกเส้นใยจากลำต้น และนำมาทอผ้า ที่ได้มีการสืบทอดต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

ชาวม้งกับเฮมพ์ ความเชื่อมโยงของภูมิปัญญาท้องถิ่นกับธรรมชาติ
“ภูมิปัญญาท้องถิ่น” เป็นสิ่งที่มีคุณค่า และมีความสำคัญในท้องถิ่น หรือชุมชนที่แตกต่างกันไปตามลักษณะทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ ทำให้ชุมชนนั้นสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน และมีสภาวะแวดล้อมที่สมดุลจนกลายเป็นรากฐานของการพัฒนา นอกจากนี้ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เช่น วัฒนธรรมการทอผ้าของชาวม้ง ซึ่งถือได้ว่า เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นวิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่มีความสอดคล้องกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

สำหรับกรณีศึกษาชาวม้งที่อำเภอพบพระ จังหวัดตากนั้น พบว่า ชาวม้งมีการนำเอาทรัพยากรทางธรรมชาติมาสร้างสรรค์ และพัฒนา เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่การประกอบอาชีพการเกษตรด้วยการปลูกข้าวหรือข้าวโพด เพื่อการบริโภคหรือเพื่อเลี้ยงสัตว์แล้ว ยังพบว่า มีการปลูกเฮมพ์ ไว้ในที่ดินแปลงเล็ก ๆ ของตน และนำเส้นใยเฮมพ์มาทอผ้า เพื่อทำเครื่องแต่งกาย เป็นต้น เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว เฮมพ์เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ง่าย ใช้เวลาเพียง 3-4 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้เฮมพ์จะใช้ประโยชน์จากเส้นใยเป็นหลัก

จากงานวิจัยเพื่อศึกษารากเหง้าวัฒนธรรมของชาวม้งกับการใช้ประโยชน์จากเฮมพ์ที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ผลจากการสำรวจพื้นที่ของทีมวิจัย พบว่า ชาวม้งที่อำเภอพบพระ มีวิธีการเก็บเกี่ยวเฮมพ์เมื่อมีอายุครบการเก็บเกี่ยว โดยชาวม้งจะตัดเฮมพ์มาทั้งต้น จากนั้นลอกเปลือกของลำต้นออก และนำเส้นที่ได้จากการลอกเปลือกมาถักต่อกัน เพื่อให้ได้เส้นใยที่ยาวขึ้น จากนั้นจึงนำไปปั่น และม้วนเป็นเส้นแล้วนำมาแช่น้ำ เพื่อให้ได้เส้นใยที่ยุ่ย และนิ่มขึ้น จากนั้นจึงนำมาเข้าสู่กระบวนการย้อมสี และกระบวนการทอในลำดับถัดไป (ดังรูปที่ 1 และ 2) 

นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่า ในปัจจุบันพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มีการปลูกเฮมพ์ เพื่อการขายในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เส้นใย และตัดลำต้นขาย เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางอุตสาหกรรมของเส้นใยจากเฮมพ์ เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อีกด้วย โดยมีการส่งขายทั้งภายในประเทศ และส่งออกนอกประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่าของชุมชน และยังเป็นการเพิ่มรายได้จากการปลูกเฮมพ์ควบคู่ไปกับการรักษารากเหง้าทางวัฒนธรรมในการนำเส้นใยมาทอผ้าตามวิถีชีวิตที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของชาวม้ง


รูปที่ 1 ต้นกัญชงแห้งก่อนนำเข้ากระบวนการผลิตเส้นใย 
ที่มา: ภูมิฐวัศ สัมพันธ์พานิช (2562)


รูปที่ 2 เส้นใยของกัญชงก่อนนำมาทอ 
ที่มา: ภูมิฐวัศ สัมพันธ์พานิช (2562)

วัฒนธรรมและวิถีชีวิตการทอผ้าเส้นใยจากเฮมพ์ยังคงมีความเกี่ยวข้องกับชาวม้งที่อำเภอพบพระ จังหวัดตากมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังคงมีการดำเนินอยู่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชุมชน เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่ควรอย่างยิ่งต่อการให้ความสำคัญ เนื่องจากแสดงถึงความมี “อัตลักษณ์” ของชุมชนกับวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน ควรค่าแก่การเรียนรู้ และได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนที่สนใจพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไป

ภูมิปัญญาท้องถิ่น…จากคุณค่าสู่มูลค่า
การพัฒนาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนนั้น สามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้เพิ่มมากขึ้นกว่าภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียว โดยเป็นการพัฒนาจากทุนทางวัฒนธรรม หรือมรดกทางภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1) จับต้องได้ (Tangible) และ 2) จับต้องไม่ได้ (Intangible) โดยการใส่เรื่องราว (Story) และเนื้อหา (Content) ของวัฒนธรรมนั้นลงไปในผลิตภัณฑ์ (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2561) เป็นการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นส่งผลให้เกิดมูลค่าที่สูงขึ้นได้

เช่นเดียวกันกับ กรณีบ้านใหม่ยอดคีรี อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ที่มีการรวมกลุ่มทอผ้าจากใยกัญชงหรือเฮมพ์ โดยอาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม ทั้งวิธีการปลูก การลอกเส้ยใยจากลำต้น รวมทั้งวิธีการทอ การย้อมเส้นใยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่าย ตลอดจนมีการออกแบบป้ายผลิตภัณฑ์สินค้า และถุงบรรจุภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์ และมีความทันสมัยมากขึ้น ดังรูปที่ 3 เป็นการสร้างรายได้ และเกิดการสร้างงานในชุมชนขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการทำการเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำ และในเกือบทุกปีเกษตรกรมีการปลูกพริก ปลูกข้าวโพด และพืชไร่ต่าง ๆ แต่ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลูกนั้นขายไม่ได้ราคาหรือราคาตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรชาวม้งประสบปัญหาการขาดทุน ดังนั้นการรวมกลุ่มทอผ้าจากใยกัญชงหรือเฮมพ์ ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงเป็นแนวทางที่ดีที่สามารถสร้างรายได้ชดเชย และทำให้คุณภาพชีวิตของชาวม้งดีขึ้น


รูปที่ 3 ป้ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากผ้าทอใยกัญชง ณ กลุ่มผ้าทอใยกัญชง ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
ที่มา: ภูมิฐวัศ สัมพันธ์พานิช (2562)

นอกจากนี้ จากการเล่าเรื่องของผู้นำชุมชน พบว่า ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยกัญชงหรือเฮมพ์นั้น เริ่มจากการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสร็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมหมู่บ้านชาวม้งที่อำเภอพบพระ  จังหวัดตาก และชาวม้งได้ทำการถวายผ้าที่ทอจากใยกัญชงหรือเฮมพ์สำหรับพระองค์ ท่านทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า

“ชอบ สวยจัง แม่ชอบผ้าใยกัญชง ทอเป็นไหม สอนให้ลูกหลานทอเป็นเยอะๆ และ
ให้ชาวม้งทอส่งให้แม่ได้ไหม”

หลังจากนั้น ชาวม้งที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จึงร่วมกันจัดตั้งกลุ่มทอผ้าใยกัญชง โดยทอผ้ามาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 จนถึงปัจจุบัน และมีการทอผ้าส่งในวัง และศูนย์ศิลปาชีพฯ เรื่อยมา ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจดทะเบียนเป็นสินค้า OTOP และจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนทอผ้า มีการพัฒนาผ้าทอใยกัญชงให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น  หรือมีการพัฒนานำผ้าทอมาออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น ทำเป็นผ้าพันคอ เสื้อสูท และกระเป๋า เป็นต้น ดังรูปที่ 4

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์จากกัญชงหรือเฮมพ์ยังคงอยู่ในรูปแบบของการทอ โดยนอกเหนือจากการทอส่งในวัง และศูนย์ศิลปาชีพฯ แล้ว ยังมีการจำหน่ายสินค้าในช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งขายภายในพื้นที่ชุมชนเอง เนื่องจากมีคนจากภายนอกมาดูงานแทบทุกวัน และการออกบูทงาน OTOP ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่หน่วยงานภาครัฐได้เชิญไปออกงาน ทำให้มีรายได้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้น แม้ว่ารายได้ที่รับเพียงพอต่อการดำรงชีวิต หรือพอมี พอกิน พอใช้เลี้ยงครอบครัวอยู่รอดแบบปีต่อปีหรือเดือนต่อเดือนเท่านั้น หากแต่ยังไม่ถึงระดับที่จะมีเงินเก็บออม แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มสตรีในชุมชนมีงานทำ ไม่ต้องไปรับจ้างที่อื่น ทั้งนี้ทุกคนมีความภาคภูมิใจในงานหรือสิ่งที่ทำเพราะนอกเหนือจากจะสามารถหารายได้ด้วยตนเองได้แล้ว ยังเป็นการรักษาวิถีชีวิตวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวม้งไว้ได้ด้วยเช่นกัน โดยตอนหนึ่งของการลงพื้นที่สำรวจตามโครงการวิจัย ผู้นำชุมชนกล่าวกับทีมวิจัยว่า

“เรารักสิ่งนี้ เราอยากอนุรักษ์ไว้ เราอยากสอนให้ลูกหลาน เหมือนที่แม่หลวงของเรารับสั่งไว้ ถ้าตอนนั้นท่านไม่รับสั่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ป้ายังจะทำอยู่ไหม คนอื่นนี่เขาอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ แต่ป้าทำตลอดทำเป็นอาชีพ” นอกจากนี้ ผู้นำชุมชนยังย้ำกับทีมวิจัยเพิ่มเติมว่า 

“ป้ามีกำลังใจ มีพลัง ตั้งแต่ตอนที่พระองค์ท่านรับสั่งเรา ตรงนี้มันยังคงหมุนเวียนอยู่ในใจของเรา หมุนเวียนอยู่ในสมองของเรา ตลอดไม่ห่างเลย มีพลัง กำลังใจ บ้างครั้งอาจจะท้อ แต่ไม่เคยถอย ร้องไห้ ไม่ถอย จะสู่ไปเรื่อย ๆ จะสอนไปเรื่อย ๆ ให้ลูกหลานทำเป็น


รูปที่ 4 ผลิตภัณฑ์จากผ้าทอใยกัญชง อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
ที่มา: ภูมิฐวัศ สัมพันธ์พานิช (2562)

แม้ว่าชาวม้งที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จะเป็นวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็ก แต่กลับแสดงจุดยืนที่สำคัญ และหนักแน่นของผู้นำชุมชนได้อย่างชัดเจน ทำให้ยังคงมีการทอผ้า และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มาโดยตลอด แม้ว่าในปัจจุบันอาจต้องประสบปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ เรื่องการผลิตที่ติดขัดกับข้อบังคับทางกฎหมาย ปัญหาในเรื่องของการขออนุญาตปลูก ตลอดจนช่องทางการจัดจำหน่ายที่ยังไม่มีการกระจายหรือส่งขายมากนัก รวมทั้งไม่มีความต่อเนื่องทางการตลาด นอกจากนี้ ทางกลุ่มวิสาหกิจทอผ้าใยกัญชงหรือเฮมพ์นี้ ยังขาดความรู้ในเรื่องของการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น ดังนั้นการส่งเสริมและให้การสนับสนุนในเรื่องดังที่กล่าวมานี้ ชุมชนยังคงต้องการความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หรือภาคเอกชนที่สนใจให้ความร่วมมือสนับสนุน เพื่อการพัฒนาให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืน และชาวม้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“เฮมพ์” กับการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์
ผลิตภัณฑ์ชุมชน นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสร้างสรรค์ สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ หากมีการผลักดันไปสู่การส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้สำเร็จ ด้วยประเทศไทยมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สร้างสรรค์ที่สามารถสร้างออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อยู่มากมายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่งดงาม อาทิ การทอผ้าไหม การทำเครื่องปั้นดินเผา การทำเครื่องเงิน การทำเครื่องทอง หรือแม้แต่งานจักรสานจากย่านลิเภา เส้นกก ใยตาล และผักตบชวา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มาจากวัสดุทางธรรมชาติที่ถูกนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สามารถทำให้เกิดมูลค่าที่เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชนตามแนวเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ใช้ทุนทางวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่จากรากเหง้าวิถีชีวิตดั้งเดิมมาสานต่อ และพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม 

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผลจากการลงพื้นที่วิจัยยังแสดงให้เห็นได้ชัดว่า หากมีการส่งเสริมสนับสนุนการปลูกเฮมพ์ เพื่อนำเส้นใยมาทอผ้าและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนอย่างต่อยอด จะนำไปสู่ผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่า และเพื่อการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ จึงนับได้ว่าเป็นการพัฒนาตามแนวทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ เพราะนอกจากจะเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมวิถีชีวิตดั้งเดิมอันทรงคุณค่าแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชน และรักษาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิตไปพร้อมกัน

ดังนั้นสิ่งที่พึงพิจารณาร่วมกัน คือ แม้ว่า กัญชงหรือเฮมพ์จะถูกจัดว่าเป็นพืชชนิดสารเสพติด หากแต่ถ้ามีการส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์แล้ว จึงคาดว่า “กัญชงหรือเฮมพ์” นั้น จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย หรือผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นส่งผลให้เกิดมูลค่าที่สูงขึ้นในชุมชนนั้น ๆ ได้


กิตติกรรมประกาศ
บทความฉบับนี้ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากโครงการวิจัย เรื่อง “การปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากเฮมพ์ที่ปลูกในดินปนเปื้อนแคดเมียม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (RDG62T0053)” โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.พันธวัศ สัมพันธ์พานิช เป็นหัวหน้าโครงการฯ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ประจำปีงบประมาณ 2562 อันเป็นประโยชน์ต่อความสำเร็จของการดำเนินงานวิจัยในครั้งนี้


เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. แกนกลางเศรษฐกิสร้างสรรค์ ทุนทางวัฒนธรรมคืออะไร. วารสารวัฒนธรรม ปีที่ 57 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2561. [ออนไลน์]. 2561. แหล่งที่มา: http://magazine.culture.go.th/2018/4/mobile/index.html#p=3. [29 เมษายน 2562]
สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาคเหนือ. กัญชา-กัญชง. [ออนไลน์]. 2544. แหล่งที่มา: https://www.oncb.go.th/ncsmi/hemp7.pdf. [25 เมษายน 2562]