ปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศจีน

บทคัดย่อ

ในภาวะปัจจุบันปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ คือ ปัญหาทางสภาวะแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อันมีสาเหตุมาจากการดำเนินการทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่ทวีจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้เกิดมลพิษปลดปล่อยออกสู่บรรยากาศ พื้นดิน และพื้นน้ำอย่างมากมาย ซึ่งแต่เดิมความจุของการแบกรับของตัวกลางธรรมชาติ เช่น น้ำ อากาศ และดิน เหล่านี้ยังสามารถรองรับได้ แต่เมื่อมลพิษเหล่านั้นเพิ่มทวีอย่างมากมายจนธรรมชาติไม่อาจรองรับไหว จนเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็ยิ่งส่งผลให้ผลกระทบจากมลพิษบางกลุ่มยิ่งรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ หนึ่งในปัญหาด้านอากาศในปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญอยู่ก็คือ ปัญหาฝุ่นละอองจากอุตสาหกรรม การคมนาคม และภัยธรรมชาติ ที่สามารถสัมผัสผ่านการมองเห็นได้อย่างชัดเจน และในปัจจุบันพบว่าปัญหานี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก โดยในแง่ของมลพิษฝุ่นละอองนี้ แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1) ฝุ่นที่มีขนาดตั้งแต่ 100 ไมโครอน ลงไป เรียกว่า ฝุ่นละอองรวม (Total Suspended Particulate, TSP) 2) ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เรียกกว่า PM10 และ 3) ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เรียกว่า PM2.5 โดยฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กอย่าง PM2.5 จะมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจเป็นอย่างมากเนื่องจากมักเป็นอนุภาคของสารเคมีอันตรายอย่างแอมโมเนีย ซัลเฟต และไนเตรท และสามารถเข้าสู่ปอดได้ด้วยขนาดที่เล็กมาก


อรุบล โชติพงศ์. (2561). ปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศจีน. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 22 (ฉบับที่ 1), 54-63.

ปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศจีน

ผศ.ดร.อรุบล โชติพงศ์
สถาบันวิจัยสภาะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บทนำ
ในภาวะปัจจุบันปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ คือ ปัญหาทางสภาวะแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อันมีสาเหตุมาจากการดำเนินการทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่ทวีจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้เกิดมลพิษปลดปล่อยออกสู่บรรยากาศ พื้นดิน และพื้นน้ำอย่างมากมาย ซึ่งแต่เดิมความจุของการแบกรับของตัวกลางธรรมชาติ เช่น น้ำ อากาศ และดิน เหล่านี้ยังสามารถรองรับได้ แต่เมื่อมลพิษเหล่านั้นเพิ่มทวีอย่างมากมายจนธรรมชาติไม่อาจรองรับไหว จนเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็ยิ่งส่งผลให้ผลกระทบจากมลพิษบางกลุ่มยิ่งรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ หนึ่งในปัญหาด้านอากาศในปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญอยู่ก็คือ ปัญหาฝุ่นละอองจากอุตสาหกรรม การคมนาคม และภัยธรรมชาติ ที่สามารถสัมผัสผ่านการมองเห็นได้อย่างชัดเจน และในปัจจุบันพบว่าปัญหานี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก โดยในแง่ของมลพิษฝุ่นละอองนี้ แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1) ฝุ่นที่มีขนาดตั้งแต่ 100 ไมโครอน ลงไป เรียกว่า ฝุ่นละอองรวม (Total Suspended Particulate, TSP) 2) ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เรียกกว่า PM10 และ 3) ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เรียกว่า PM2.5 โดยฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กอย่าง PM2.5 จะมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจเป็นอย่างมากเนื่องจากมักเป็นอนุภาคของสารเคมีอันตรายอย่างแอมโมเนีย ซัลเฟต และไนเตรท และสามารถเข้าสู่ปอดได้ด้วยขนาดที่เล็กมาก

สถานการณ์ฝุ่นละอองของโลก
ปัญหามลพิษทางอากาศของโลกเกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งสาเหตุของปัญหาก็แตกต่างกันไป ทั้งที่เกิดโดยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้ป่า และภูเขาไฟระเบิด ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาระยะสั้น และค่อย ๆ บรรเทาลงได้เอง แต่ปัญหาที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การจราจร และอุตสาหกรรม เป็นปัญหามลพิษทีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และต้องการการแก้ไขอย่างจริงจัง เมื่อปลายปี พ.ศ. 2556 สถาบันแบล็กสมิธและกลุ่มกรีนครอส ได้มีการจัดอันดับ 10 สถานที่แห่งใหม่ที่มีมลภาวะมากที่สุดในโลก โดยประเทศจีนก็ติดอันดับในการจัดกลุ่มดังกล่าวด้วย โดยมีทั้งปัญหามลภาวะพื้นดิน น้ำ และอากาศ โดยเฉพาะหมอกหรือควันพิษ (Smog) ที่ได้ปกคลุมหลายมณฑลในประเทศจีนรวมถึงกรุงปักกิ่งและมหานครเซี่ยงไฮ้ มลพิษดังกล่าวนั้นอยู่ในระดับที่สูงจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเยาวชนจีน ทางการของกรุงปักกิ่งเองก็ได้ตระหนักถึงภาวะมลพิษนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โดยมีสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของรัฐ (SEPA) ซึ่งได้ยกระดับเป็นกระทรวงในปี พ.ศ. 2541 เป็นผู้ดูแลปัญหาดังกล่าว 

ปัญหาภาวะมลพิษนี้ไม่ได้เกิดเพียงแค่เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป

  • เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้ประสบปัญหามลพิษในอากาศระดับไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ โดยมี PM10 สูงกว่ามาตรฐานถึง 2 เท่า 
  • ปัญหาจากไฟไหม้ป่ายังส่งผลเกิดมลพิษทางอากาศในเกาะสุมาตราและเกาะสิมิลัน ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ กันยายน พ.ศ. 2557 ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงและประชาชนล้มป่วย นอกจากนี้ยังพบว่าหมอกควันจากไฟป่าได้แผ่ปกคลุมไปถึงรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ทำให้ระดับคุณภาพอากาศในพื้นที่อยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยต้นตอของไฟป่านั้นมาจากหลายปัจจัย อาทิเช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าในเชิงพาณิชย์ การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกปาล์มและภัยแล้งอย่างรุนแรงจากปรากฏการณ์เอลนีโญ 
  • กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 อุณหภูมิที่ลดลงก็มีผลในการกระตุ้นให้เกิดการกักเก็บฝุ่นละอองจากไอเสียของยานพาหนะ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงจนมองไม่เห็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง มีค่า PM2.5 สูงกว่ามาตรฐานที่องค์กรอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ถึง 3 เท่า 
  • กรุงเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก ประสบปัญหาการปะทุหมอกควันขึ้นสู่ท้องฟ้าของภูเขาไฟโปโปคาเตเปตล์ ใน พ.ศ. 2558 และ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559 ก็ประสพกับมลพิษเนื่องจากไอเสียของยานพาหนะมีจนทำให้มีค่าของฝุ่นสูงเกือบ 2 เท่าของค่าที่ยอมรับได้ 
  • กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ได้เกิดสภาวะมลพิษทางอากาศเนื่องมาจากมวลอากาศเย็นที่พัดปกคลุมส่งผลให้ฝุ่นละอองที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่สามารถกระจายสู่ชั้นบรรยากาศได้ โดยฝุ่นละอองเหล่านั้นเกิดจากไอเสียของยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล โรงงานไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาซากพืชของเกษตรกร โดยในอากาศมี PM2.5 สูงถึง 703 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือมากกว่า 2 เท่าของค่ามาตรฐานที่ทางการกำหนดเอาไว้ 

สถานการณ์ฝุ่นละอองในประเทศจีน
ประเทศจีนมีการแพร่กระจายของมลพิษทางอากาศประเภทฝุ่นละอองอย่างมาก โดยเฉพาะใน ปี พ.ศ. 2557 พบว่ากรุงปักกิ่งมีค่า PM2.5 เฉลี่ย 1 ปี อยู่ที่ 0.056 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐาน 2 เท่า ทั้งนี้เพราะการก้าวขึ้นเป็นประเทศผู้นำที่ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกต่างประเทศในปริมาณมาก และสินค้าก็ได้รับการตอบรับจากประเทศผู้นำเข้าอย่างมากเนื่องจากราคาสินค้าที่ถูกทำให้ยอดส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นการเร่งปริมาณการผลิตภายในประเทศ โดยแหล่งพลังงานสำคัญที่ใช้ในประเทศมาเป็นเวลาช้านานก็คือถ่านหินที่สามารถจัดหาได้ในประเทศ ซึ่งเป็นการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยที่ไม่มีแผนในด้านการควบคุมมลพิษกำกับ ทำให้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง จากข้อมูลคุณภาพอากาศเมืองใหญ่ ทั่วโลก ใน ปี พ.ศ. 2557 ขององค์การอนามัยโลกระบุว่า เมืองที่มีค่าความเข้มข้นของ PM2.5 เกินมาตรฐาน ได้แก่ นิวเดลี  และ ปัฎนา ของประเทศอินเดีย รองลงมาคือ รวัลพินดี การาจี และเปชาวาร์ของปากีสถาน และธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศ ในขณะที่ประเทศจีนที่พบว่ามีปัญหามลพิษในระดับรุนแรง ใน ปี พ.ศ. 2557 แต่ก็ยังไม่พบว่าติดอันดับเมืองใหญ่ที่มีปัญหามลพิษ 20 อันดับแรกของโลก 

ปัญหาการแพร่กระจายของฝุ่นละอองที่อยู่ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานอยู่ยาวนานในเมืองใหญ่ของประเทศจีน ทำให้รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะลดระดับค่ามลพิษให้ลดลงเหลือ 60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ก่อนปี พ.ศ. 2560 และในหลายปีที่ผ่านมาประเทศจีนก็พยายามแก้ปัญหานี้มาโดยตลอด การแก้ไขใช่ว่าจะทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ที่มีปัญหาอย่างรุนแรง จีนเองก็ได้วางแผนทั้งระยะสั้น และระยะยาวเพื่อการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังพบว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ได้เกิดมลพิษที่มีค่า PM2.5 ในบางเขตมีค่าเกินค่ามาตรฐานซึ่งอยู่ในระดับอันตราย นครปักกิ่งได้ปิดโรงงานหลายแห่งชั่วคราวหรือลดกำลังการผลิตเช่น โรงพิมพ์ โรงงานผลิตวัสดุก่อสร้าง และอุสาหกรรมเคมี ผลกระทบนี้นอกจากจะสร้างปัญหาทางด้านสุขภาพแล้วยังมีผลต่อการคมนาคมทั้งทางอากาศและทางบก ทำให้ต้องมีการยกเลิกหรือเลื่อนเที่ยวบินที่สนามบินนานาชาติปินไห่ในเทียนจินเลยทีเดียว และเปิดทางหลวงเพียงหนึ่งสายเท่านั้นที่ให้รถวิ่งได้ เนื่องจากทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ต่ำมาก รูปที่ 1 (ก-ค) แสดงให้เห็นหมอกควันในกรุงปักกิ่ง และรูป 1 (ง) หมอกควันในเมืองถังซาน 
 
 

 ในเดือน มกราคม ปี พ.ศ. 2560 ก็ยังพบว่าปริมาณฝุ่นในจีนในระดับสูง ที่กรุงปักกิ่งบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน มีระดับ PM2.5 ถึง 475 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงเกินมาตรฐานของ WHO ที่กำหนดว่าค่า PM2.5 ในรอบ 24 ชั่วโมง ไม่ควรเกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และพบว่าเมืองใหญ่ จำนวน 25 เมือง ยังคงมีฝุ่นความเข้มข้นของฝุ่นสูงกว่าระดับกลางตามมาตรฐานของ WHO จนต้องประกาศให้เป็นเขตพื้นที่สีแดง แต่ถ้าดูโดยภาพรวมเมื่อเทียบกับ ปี พ.ศ. 2557 พบว่า ค่าความเข้มข้นของฝุ่น ลดลง 9.9%  

สถาบันผลกระทบต่อสุขภาพในสหรัฐ เผยผลการศึกษาว่าในปี พ.ศ. 2557 มีผู้เสียชีวิตจากมลภาวะอากาศเป็นพิษมีมากกว่า 4.2 ล้านคนทั่วโลก โดยจีนและอินเดียมีผู้เสียชีวิตรวมกันถึง 2.2 ล้านคนซึ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งโลก เพื่อแก้ไขปัญหานี้จีนได้ดำเนินนโยบายและแนวทางการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และในปี พ.ศ. 2560 นี้ จีนก็ยังต้องทะยอยการแก้ปัญหาระดับชาตินี้อย่างต่อเนื่องด้วยภารกิจอันหนักหน่วง นั้นคือ การปิดโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศที่ตั้งมาเป็นเวลาช้านาน ได้แก่ การปิดโรงงานเหล็กในมณฑลเหอเป่ยนั้นนับเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในโลกแต่เป็นการปิดในระยะสั้น โดยภาคส่วนอุตสาหกรรมเป็นตัวการปล่อย PM2.5 ถึงร้อยละ 40-50 ในมณฑลดังกล่าว ซึ่งโรงงานเหล็กและซีเมนต์นั้นนับเป็นภาคที่ปล่อยมลพิษสูงที่สุด 

นอกจากนี้โรงงานผลิตเหล็กในเมืองถังซาน มณฑลเหยเป่ย ซึ่งมีกำลังผลิต 100 ล้านตันต่อปี และโรงงานเหล็กที่เมืองหานดาน ก็ได้ทำการลดกำลังผลิตลงเหลือ 50% ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2560 เพื่อลดปริมาณปุ่นที่เกิดมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวในเดือนพฤศจิกายน นอกจากโรงงานเหล็กแล้ว ในขณะนี้โรงงานถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดคือ โรงงานหัวเหนิง ในกรุงปักกิ่งก็ถูกระงับการดำเนินการลงแล้ว ในเดีอนมีนาคม พ.ศ. 2560 ทำให้กรุงปักกิ่งของจีนได้กลายเป็นเมืองที่มีโรงงานไฟฟ้าจากพลังสะอาดทั้งหมดเป็นแห่งแรกของจีนแล้ว คาดว่าหลังจากนี้ในแต่ละปีจะมีการลดการใช้ถ่านหินราว 1.76 ล้านตัน รวมทั้งลดการปล่อยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ราว 91 ตัน และสารไนโตรเจนออกไซด์ปริมาณ 285 ตัน สำหรับโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ ถูกสร้างและเปิดเริ่มดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้ามาตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 มีเตาเผาถ่านหินทั้งหมด 5 เครื่อง ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 845,000 กิโลวัตต์ และความจุความร้อน 26 ล้านตารางเมตร ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรที่ดูแลเรื่องอากาศบริสุทธิ์ของจีน (Clean Air Alliance of China-CAAC) เชื่อว่ารัฐบาลคงจะมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานตามแผนปฎิบัติการด้านอากาศที่วางไว้เมื่อปี พ.ศ. 2555 ให้สำเร็จในปี พ.ศ. 2561 ได้อย่างแน่นอน 

สาเหตุของปัญหาหมอกควันพิษในประเทศจีน
ในปี พ.ศ. 2554 องค์กรอนามัยโลกระบุไว้ว่าปริมาณมลพิษจากโรงงานไฟฟ้าถ่านหินที่ประเทศจีนนั้นอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชาชนกว่า 257,000 คน ซึ่งประเทศจีนมีโรงไฟฟ้าถ่านหินมากกว่า 2,300 โรง ดังจะเห็นได้จากกราฟในรูปที่ 2 ที่ชี้ชัดว่าการใช้ถ่านหินในจีนมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของการใช้ถ่านหินของทั้งโลก โดยที่ผ่านมานั้นประเทศจีนได้ใช้พลังงานจากถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานหลักเกือบร้อยละ 80 ของประเทศในปี พ.ศ. 2555 และมีการเติบโตของโรงไฟฟ้าถ่านหินอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในนครปักกิ่ง 

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ปัญหาหมอกควันเลวร้ายมากขึ้น ได้แก่ สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้อากาศเสียไม่สามารถระบายออกไปได้ จึงทำให้ควันพิษเหล่านี้ลอยไปปกคลุมมลฑลและหัวเมืองรอบๆนครปักกิ่ง โดนเฉพาะในเหอเป่ย ส่านซี สิงไถ สือเจียจ้วง ติ้งโจว และหยางเฉวียน ศาสตราจารย์เหรินยี่ จาง ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรยากาศศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็มได้ให้ความเห็นว่าลมจากตอนเหนือในช่วงฤดูใบได้ผลิและใบไม้ร่วงจะช่วยพัดพามลภาวะในอากาศให้จางหายไป แต่หมอกควันพิษนี้จะหนาแน่นเป็นพิเศษในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว เนื่องจากมีการใช้ไฟฟ้าจากโรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหินเพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องจากการใช้เครื่องปรับอากาศในฤดูร้อน และการใช้เครื่องทำความร้อนในฤดูหนาว ส่วนในนครเซี่ยงไฮ้ที่อยู่ใกล้มหาสมุทร ลมจากมหาสมุทรจะทำให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดีกว่าที่นครปักกิ่งซึ่งอยู่ลึกเข้ามาจากมหาสมุทรและอยู่ใกล้กับทะเลทราย 

ผลกระทบของคุณภาพอากาศในประเทศจีน
ปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นในประเทศจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจในส่วนลึกได้มากกว่าฝุ่นขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย เช่น ระคายคอ จามและน้ำจมูกไหล หายใจติดขัด ส่งผลให้เกิด โรคปอด โรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว ตลอดจนเด็กและผู้สูงอายุที่มีความต้านทานโรคต่ำกว่าคนปกติ ทำให้เกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจตามมาเนื่องจากการที่ประชาชนที่ไม่แข็งแรงย่อมทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มมากขึ้น และการที่ประชาชนอ่อนแอย่อมทำให้ประสิพธิภาพของการทำงานลดลง เป็นการเพิ่มปัญหาให้กับหน่วยงานของรัฐมากขึ้นตามไปด้วย 

ด้านทัศนวิสัยทัศน์การบดบังฝุ่นละออองในบรรยากาศ ย่อมทำให้ส่งผลต่อวิสัยทัศน์การมองเห็นที่ลดลง ทำให้มีโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรที่มากกว่าเดิมและประชาชนไม่สามารถออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ เช่น การออกกำลังกาย การพักผ่อนในสวนสาธารณะ 

ในส่วนผลกระทบต่อพืชพรรณธรรมชาติ ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ฟุ้งกระจายในบรรยากาศยังบดบังความเข้มของแสงที่ผ่านสู่พืชซึ่งมีผลต่อการสังเคราะห์แสงของพืช ทำให้การเจริญเติบโตของพืชลดลง เนื่องจากพืชเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนตามธรรมชาติ จึงทำให้คุณภาพอากาศที่เสียอยู่แล้วเนื่องจากการปนเปื้อนของฝุ่นละอองและก๊าซพิษยิ่งลดต่ำลงไปจากเดิม  ในกรณีของพื้นที่การเกษตรย่อมส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงด้วย 

ด้านเศรษฐกิจนั้นปัญหาหมอกควันกระทบกับความสามารถในการผลิตของแรงงาน (Labor Productivity) ราวร้อยละ 6.5 ของการผลิตทั้งประเทศ (ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท) ด้วยเหตุนี้ จีนจึงประกาศสงครามกับปัญหาหมอกควัน ซึ่งประมาณการกันว่าจีนต้องใช้งบประมาณราว 7 ล้านล้านบาท จึงจะลดปัญหาหมอกควันได้  

ผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนนั้น  การที่ประชาชนลดการทำกิจกรรมนอกบ้านย่อมส่งผลในการลดปริมาณการซี้อขายภายในประเทศ มีการสั่งปิดถนนและทางหลวง 18 สายที่มุ่งสู่ปักกิ่ง เมืองฮาร์บินและเซี่ยงไฮ้ ทำให้เส้นทางจราจรเปลี่ยแปลงไปจากเดิม ใช้เวลามากขึ้น หรือถึงช้ากว่าเดิม ทำให้สิ้นเปลีองค่าน้ำมันมากขึ้นและที่สำคัญคือ การท่องเที่ยวที่ลดลงอย่างชัดเจน แต่ปัญหานี้กลับส่งผลในด้านดีต่อบริษัท 3 M ที่มียอดจำหน่ายของหน้ากากอนามัย สูงเพิ่มขึ้นจนติดอันดับการขายดีมากที่สุดเพราะประชาชนจัดหาเพื่อนำมาป้องกันมลพิษ ตามรูปที่ 3 

แนวทางป้องกันและแก้ไขของประเทศจีน
การป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษในประเทศจีนนั้น ผู้บริหารได้จัดทำแนวทางไว้ในหลายรูปแบบซึ่งมีทั้งแนวทางในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นทางการ ได้แก่ การสร้างโดรนพ่นสารกำจัดหมอกควัน โดยโดรนสามารถบรรจุสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดหมอกควันได้ถึง 700 กิโลกรัมและสามารถพ่นกำจัดหมอกควันได้ในรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งการใช้โดรนในการกำจัดหมอกควันประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการใช้ยานพาหนะอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีการยิงจรวดเพื่อสร้างฝนเทียม โดยใช้เครื่องยิงจรวดในการยิงสารเคมีที่ประกอบไปด้วย โพแทสเซียมไอโอไดด์ (Potassium Iodide) โพเพนเหลว (Liquid Propane) ชิลเวอร์ไอโอไดด์ (Silver Iodide) เข้าไปในเมฆ เพื่อใช้เป็นตัวเร่งให้เกิดผลึกน้ำแข็งและเป็นฝนตกลงสู่พื้นดิน ด้วยโมเลกุลของเม็ดฝนจะช่วยชะล้างฝุ่นละอองที่อยู่ในอากาศให้ตกลงมาสู่พื้นดิน 

ส่วนการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งมลพิษโดยตรง ได้แก่ ควบคุมการปล่อยมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม โดยภาครัฐมีการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายในการอัพเกรดโรงงานให้ใช้พลังงานอย่างอื่นแทนถ่านหิน ในแผนยุทธศาสตร์ลดควันพิษ ภายในระยะเวลา 5 ปี และการปิดโรงงานอุตสหกรรม ซึ่งในปี พ.ศ. 2557 รัฐบาลจีนได้สั่งปิดโรงงาน 300 แห่ง เพื่อแก้ปัญหาหมอกครันในกรุงปักกิ่ง นอกจากนั้นยังมีการออกมาตรการระหว่างมณฑลเพื่อลดการปล่อยมลพิษ รวมถึงการลดการใช้ถ่านหิน โดยแผนลดมลพิษทางอากาศของจีนในปี พ.ศ. 2560 ต้องลดควันพิษให้ได้ร้อยละ 10  โดยมีการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดแทนการใช้พลังงานจากถ่านหิน 
ส่วนปัญหาการจราจรซึ่งเป็นแหล่งการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ ที่เป็นแหล่งมลพิษโดยตรงอีกทางหนึ่งนั้น รัฐบาลจีนได้มีการจัดการการจราจรและการใช้ยานพาหนะ ในหลาย ๆ มิติ ได้แก่ การออกกฎกำหนดค่ามาตรฐานการปล่อยไอเสีย การตรึงราคาน้ำมันให้สูงกว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก เพื่อลดการใช้ยานพาหนะ การสลับรถวิ่งบนท้องถนนตามวันคู่วันคี่ของเลขทะเบียนรถ การซื้อรถเก่าไปทำลาย และการสนับสนุนการใช้รถพลังงานไฟฟ้า
นอกจากการแก้ปัญหาโดยตรงแล้ว จีนยังได้มองไปถึงการทำวิจัยที่จะผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสีกินฝุ่นหรืออาคารกรองอากาศ โดยได้มีศึกษาในด้านการสร้างอาคารที่มีส่วนช่วยป้องกันหมอกควัน คือ สีที่มีส่วนผสมของสารเคมี “ไทเทเนี่ยมไดออกไซค์” (titanium dioxide) สารเคมีดังกล่าวจะช่วยในการจับกับไนโตรเจนออกไซค์ ซึ่งเป็นสารพิษหลักที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ นอกจากนั้นยังมีการจัดทำแอพพลิเคชั่นในการติดตามการปล่อยมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อรายงานสภาพอากาศแต่ละจุด เฝ้าระวังและจับผิดโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันเสีย 
นอกจากที่กล่าวมาแล้วนั้น รัฐบาลจีนยังมีแนวทางในการแก้ปัญหาแบบง่ายที่ผู้อ่านคงแทบคิดไม่ถึง เช่น การลดอาหารปิ้งย่าง ห้ามปิ้งบาร์บีคิว ในปี พ.ศ. 2557 รัฐบาลจีนได้ร่างข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการลดปัญหาหมอกควันหลายอย่างและหนึ่งในข้อเสนอเหล่านั้นคือ ห้ามย่างบาร์บีคิว พร้อมทั้งรณรงค์ให้ชาวจีนลดการบริโภคอาหารปิ้งย่าง เพื่อลดปัญหาหมอกควันในเมือง หรือการแก้ไขปัญหาแบบทางอ้อม เช่น เพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายด้วยการรำไทเก็ก หรือรำมวยจีน 

 

บรรณานุกรม   
  • Breakingenergy. Chinese Air Pollution Documentary Paints Chilling Picture, Goes Viral. [ออนไลน์]. 2558. แหล่งที่มา: https://breakingenergy.com/2558/03/03/chinese-air-pollution-documentary-paints-chilling-picture-goes-viral/ [6 ธันวาคม 2560]
  • EIA. China produces and consumes almost as much coal as the rest of the world combined [ออนไลน์]. 2557. แหล่งที่มา: https://www.eia.gov/todayinenergy/detail.cfm?id=16271 [6 ธันวาคม 2560]
  • Greenpeace Thailand. ปักกิ่งเริ่มสั่งปิดตัวโรงงานเหล็กครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์. [ออนไลน์]. 2560 . แหล่งที่มา: http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/60644/ [6 ธันวาคม 2560]
  • Nation TV. อินโดนีเซียเร่งดับไฟป่า บนเกาะสุมาตรา. [ออนไลน์]. 2557. แหล่งที่มา: http://www.nationtv.tv/main/content/378424596/ [6 ธันวาคม 2560]
  • Netherlands Enterprise Agency (Rijksdienst voor Ondernemend Nederland). Mining industry in China. [ออนไลน์]. 2559. แหล่งที่มา: https://www.rvo.nl/sites/default/files/2559/06/Mining-industry-in-China%202559.pdf  [6 ธันวาคม 2560]
  • World Health Organization . WHO Air quality guidelines for particulate matter, ozone, nitrogen dioxide and sulfur dioxide. [ออนไลน์]. 2549. แหล่งที่มา: http://apps.who.int/iris/bitstream/10665/69477/1/WHO_SDE_PHE_OEH_06.02_eng.pdf [6 ธันวาคม 2560]
  • SOFTPEDIA. Microsoft Can Forecast China Air Pollution with Windows Phone App, New Website. [ออนไลน์]. 2558. แหล่งที่มา: http://news.softpedia.com/news/Microsoft-Can-Forecast-China-Air-Pollution-with-Windows-Phone-App-New-Website-483998.shtml [6 ธันวาคม 2560]
  • TransportPolicy. CHINA: AIR QUALITY STANDARDS. [ออนไลน์]. 2560 ก . แหล่งที่มา:  http://www.transportpolicy.net/standard/china-air-quality-standards/ [6 ธันวาคม 2560]
  • TransportPolicy. INDIA: AIR QUALITY STANDARDS. [ออนไลน์]. 2560 ข . แหล่งที่มา: http://www.transportpolicy.net/standard/india-air-quality-standards/  [6 ธันวาคม 2560]
  • Voice . อินเดียครองแชมป์มลภาวะทางอากาศสูงสุดในโลก. [ออนไลน์]. 2557 . แหล่งที่มา: https://www.voicetv.co.th/read/105483 [6 ธันวาคม 2560]
  • World Health Organization . WHO Air quality guidelines for particulate matter, ozone, nitrogen dioxide and sulfur dioxide. [ออนไลน์]. 2549 . แหล่งที่มา: http://apps.who.int/iris/bitstream/10665/69477/1/WHO_SDE_PHE_OEH_06.02_eng.pdf [6 ธันวาคม 2560]
  • ข่าวสด. สำรวจ “จีน-อินเดีย” ตายจากอากาศเป็นพิษเกินกว่า 2 ล้านคน ครึ่งหนึ่งของโลก. [ออนไลน์]. 2560 . แหล่งที่มา: https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_218602 [6 ธันวาคม 2560]
  • ไทยพับลิก้า. มลภาวะจีน: ปัญหาที่ท้าทายมนุษยชาติ (1). [ออนไลน์]. 2557 ก. แหล่งที่มา: https://thaipublica.org/2557/02/shanghai-pollution-1/ [6 ธันวาคม 2560]
  • ไทยพับลิก้า. มลภาวะที่จีน: ปัญหาที่ท้าทายมนุษยชาติ (ตอนที่ 9). [ออนไลน์]. 2557 ข. แหล่งที่มา: https://thaipublica.org/2557/10/shanghai-pollution-9/ [6 ธันวาคม 2560]
  • ไทยพับลิก้า. มลภาวะจีน ปัญหาที่ท้าทายมนุษยชาติ (7): ชาวจีนรวมตัวทวงความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้น.  [ออนไลน์]. 2557 ค. แหล่งที่มา: https://thaipublica.org/2557/08/shanghai-pollution-7/ [6 ธันวาคม 2560
  • ไทยพับลิก้า. มลภาวะที่จีน: ปัญหาที่ท้าทายมนุษยชาติ (ตอน10) กับมาตรการผักชีโรยหน้า. [ออนไลน์]. 2557 ง. แหล่งที่มา: https://thaipublica.org/2557/12/shanghai-pollution-10/ [6 ธันวาคม 2560]
  • ไทยรัฐออนไลน์. จีนตั้งเป้าลดมลพิษทางอากาศใน 28 เมืองภาคเหนือ. [ออนไลน์]. 2560 . แหล่งที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1055685 [6 ธันวาคม 2560]
  • บีบีซี นาวิเกชัน. กรุงปักกิ่งระงับโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดแห่งสุดท้ายแล้ว. [ออนไลน์]. 2560 . แหล่งที่มา: http://www.bbc.com/thai/international-39319240 [6 ธันวาคม 2560]
  • ประชาธรรม. ดูวิธีแบบจีนสไตล์ อยู่และจัดการปัญหาหมอกควัน. [ออนไลน์]. 2559 . แหล่งที่มา: https://www.prachatham.com/article_detail.php?id=411 [6 ธันวาคม 2560]
  • ผู้จัดการออนไลน์. “อิหร่าน” เจอวิกฤตมลพิษพุ่งสูง-สั่งปิดโรงเรียนทั่วเมืองหลวง. [ออนไลน์]. 2559 ก . แหล่งที่มา: http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000113831 [6 ธันวาคม 2560]
  • ผู้จัดการออนไลน์. “เม็กซิโก” ห้ามรถนับล้านคันวิ่งในเมืองหลวง หลังเจอปัญหามลพิษในอากาศ. [ออนไลน์]. 2559 ข . แหล่งที่มา: http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000028075 [6 ธันวาคม 2560]
  • ผู้จัดการออนไลน์. หมอกมลพิษบุกภาคเหนือจีน เทียนจินอ่วมสุด ยกเลิกเที่ยวบินระนาว. [ออนไลน์]. 2559 ค. แหล่งที่มา: http://www.manager.co.th/China/viewnews.aspx?NewsID=9590000125997 [6 ธันวาคม 2560]
  • ผู้จัดการออนไลน์. “นิวเดลี” เจอหมอกควันพิษอีกรอบ! ค่าฝุ่นละอองในอากาศพุ่งเกินมาตรฐาน 2 เท่า. [ออนไลน์]. 2560 . แหล่งที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9600000112641 [6 ธันวาคม 2560]
  • ไทยรัฐออนไลน์. ฝรั่งเศสจำกัดการใช้รถในปารีส หลังมลพิษในอากาศพุ่งสูง. [ออนไลน์]. 2557 . แหล่งที่มา: https://www.thairath.co.th/content/410242 [6 ธันวาคม 2560]
  • เดลินิวส์. คุณภาพอากาศในจีนยังเลวร้ายจากปัญหาหมอกควัน. [ออนไลน์]. 2560 . แหล่งที่มา: http://www.dailynews.co.th/foreign/546741 [6 ธันวาคม 2560]

 


บทความอื่นๆ

Read More

บทความ: พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและผลกระทบต่อพื้นที่ใช้ประโยชน์สำหรับการเกษตรของจังหวัดน่าน

คำแนะนำสำหรับผู้เขียน

แนวทางการเขียนบทความ สิ่งแวดล้อมไทย

1

รูปแบบและประเภทบทความ

สิ่งแวดล้อมไทย รับพิจารณาต้นฉบับบทความวิชาการที่มีเนื้อหาสาระด้านสิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของวารสาร รูปแบบของการเขียนบทความประกอบด้วย 2 รูปแบบ ดังนี้

  1. บทความวิจัยหรือบทความที่นำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิจัย (Research article)
    บทความควรประกอบด้วย บทคัดย่อ คำสำคัญ ที่มาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวข้อง วิธีการและขั้นตอนการศึกษา ผลการศึกษาและการอภิปรายผลการศึกษา บทสรุป และรายงานการอ้างอิง
  2. บทความวิชาการ (Academic article) บทความวิจารณ์ (Analytical article) และบทความปริทัศน์ (Review article)
    ควรประกอบด้วย บทคัดย่อ บทนำ คำสำคัญ วัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วนการวิเคราะห์/สังเคราะห์และการอภิปราย บทสรุป และรายการการอ้างอิง

2

ข้อกำหนดทั่วไป

  1. เป็นบทความภาษาไทยที่มีการแบ่งส่วนประกอบของบทความอย่างชัดเจน
  2. บทความนำเสนอในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว ต้นฉบับบทความควรมีความยาวไม่เกิน 10 หน้าขนาด A4 (รวมรูปภาพและตาราง) โดยใช้ตัวอักษร ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 ระยะบรรทัดแบบ Single space
  3. บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ความยาวไม่เกิน 300 คำ
  4. องค์ประกอบของบทความ ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
    • หน้าแรก ประกอบด้วย ชื่อบทความและข้อมูลของผู้นิพนธ์ (ชื่อผู้แต่ง หน่วยงาน อีเมล์ผู้รับผิดชอบบทความ) บทคัดย่อ และคำสำคัญ โดยข้อมูลทั้งหมดจัดทำทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
    • ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย ข้อมูลเช่นเดียวกับหน้าแรก (โดยจัดทำเป็นภาษาไทย) และส่วนเนื้อความ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบคอลัมน์เดี่ยว
  5. การใช้รูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิเพื่อประกอบในบทความ ให้ระบุลำดับและชื่อรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไว้ด้านล่างของวัตถุต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา สำหรับตาราง ให้ระบุลำดับและชื่อของตารางไว้ด้านบนของตารางนั้น ๆ พร้อมระบุการอ้างอิงแหล่งที่มา และหมายเหตุ (ถ้ามี) ไว้ด้านล่างตาราง วัตถุใด ๆ ที่ใช้ประกอบบทความ ต้องมีการอ้างอิงถึงในเนื้อหาด้วย
  6. รูปแบบของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิ ต้องกำหนดรูปแบบให้เป็น TIFF หรือ JPEG ที่มีความละเอียดของรูปภาพ แผนที่ และแผนภูมิไม่ต่ำกว่า 300 dpi

3

การอ้างอิงและบรรณานุกรม

  • กำหนดการอ้างอิงในเนื้อความเป็นแบบ "(นาม, ปี)"
  • รายการเอกสารอ้างอิงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้ มีความเป็นสากล และทันสมัย
  • เอกสารอ้างอิงทุกรายการจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ
  • กำหนดรูปแบบรายการอ้างอิงในระบบ APA 6th ed โดยมีวิธีการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้
  1. หนังสือ
    ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
  2. บทความในหนังสือ บทในหนังสือ
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
  3. วารสาร
    ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
  4. วิทยานิพนธ์
    ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
  5. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
    ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http://....

4

เอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ และเอกสารรับรองจริยธรรม

ผู้นิพนธ์ต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผู้นิพนธ์ และการรับรองจริยธรรม พร้อมลงนามรับรอง และจัดส่งพร้อมกับต้นฉบับบทความ

หมายเหตุ: ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดก่อนดำเนินการจัดส่งต้นฉบับ เพื่อความรวดเร็วในกระบวนการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ หากต้นฉบับบทความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว ต้นฉบับบทความจะถูกส่งคืนให้กับผู้รับผิดชอบบทความเพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

FAQ

เกี่ยวกับวารสาร

ความเป็นมา

สิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environmental) เป็นวารสารวิชาการที่ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม เดิม) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายเพื่อเป็นวารสารที่เผยแพร่องค์ความรู้และงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม (build and natural environment) และทรัพยากรธรรมชาติ ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวางแผนและการจัดการเชิงพื้นที่ และงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความตามมาตรฐานสากล

สิ่งแวดล้อมไทย หรือชื่อเดิม คือ วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เริ่มดำเนินการและเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะรูปเล่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 เป็นวารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) และปรับเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 ผ่านเวปไซต์ http://www.ej.eric.chula.ac.th/ โดยวารสารสิ่งแวดล้อมมีเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร หรือเลข ISSN (Print): 0859-3868 และ ISSN (Online) : 2586-9248 ในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาวารสารเพื่อยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเข้าสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในระดับ Tier 2 วาสารสิ่งแวดล้อมจึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการ ในปี พ.ศ. 2566 กล่าวคือ การปรับความถี่ในการแผยแพร่เป็นราย 6 เดือน (2 ฉบับ/ปี) คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับรูปแบบการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แก่ การปรับช่องทางการจัดส่งต้นฉบับจากทางอีเมล์ (eric@chula.ac.th) เป็นการจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) และปรับปรุงขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความก่อนการพิจารณาเผยแพร่ในลักษณะ Double blind review จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่าน และวารสารสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วารสารสิ่งแวดล้อมไทย" ในปี พ.ศ. 2567 เพื่อสะท้อนถึงอัตลักษณ์และขอบเขตการนำเสนอที่ชัดเจน โดยมี ISSN : 3057-0166 (Online)

สิ่งแวดล้อมไทย เผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ สามารถนำเสนอผลงานวิจัยและงานวิชาการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและระดับสากล รวมถึงการใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

หัวหน้ากองบรรณาธิการ

รองศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ วิจิตรโกสุม
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. นันทมล ลิมป์พิทักษ์พงศ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

บรรณาธิการ

อาจารย์ ดร. กัลยา สุนทรวงศ์สกุล
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. กิตติวุฒิ เฉลยถ้อย
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ดร. ธวัลหทัย สุภาสมบูรณ์
สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร. ฐิติมา รุ่งรัตนาอุบล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อนงนาฎ ศรีประโชติ
สาขาวิชาปฐพีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วราลักษณ์ คงอ้วน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดร. ยุทธนา ฐานมงคล
ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม (ศนพ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

ดร. วิชญา รงค์สยามานนท์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในลักษณะสหศาสตร์ (multidisciplinary journal) ด้านสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและเวทีในการเผยแพร่องค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันสมัยเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งงานวิจัย การปฏิบัติ นโยบาย และมุมมองต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นบริบทของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อวงวิชาการในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ และการใช้ประโยชน์ในวงกว้างเพื่อการเสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ

ขอบเขตของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ครอบคลุมแนวคิด ผลลัพธ์และข้อมูลจากการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและงานด้านการวางแผนและนโยบาย ครอบคลุมงานการประเมิน การป้องกัน การฟื้นฟู และการวางแผนและการกำหนดนโยบาย

สิ่งแวดล้อมไทย ตีพิมพ์บทความวิชาการที่ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้

  • การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • ภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการอย่างยั่งยืน
  • การจัดการเมืองยั่งยืน
  • การป้องกันและควบคุมมลพิษ
  • นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
  • ประเด็นสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ

กระบวนการพิจารณาบทความและขั้นตอนการดำเนินการเผยแพร่

วารสารสิ่งแวดล้อมไทย เปิดรับต้นฉบับบทความที่ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่มาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ

ขั้นตอนการพิจารณาเบื้องต้นเมื่อต้นฉบับบทความเข้าสู่กระบวนการ คือ ต้นฉบับบทความจะถูกประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร รูปแบบ และดัชนีความคล้ายคลึงกับการตีพิมพ์ก่อนหน้า หากต้นฉบับบทความผ่านเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมดดังกล่าว จึงจะเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพและความถูกต้องเชิงวิชาการโดยผู้ตรวจสอบอิสระ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ท่านจากหลากหลายสถาบันด้วยกระบวนการตรวจสอบแบบปกปิดสองฝ่าย (Double-blind review) การตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการยอมรับ แก้ไข หรือปฏิเสธบทความของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

หัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ และมอบหมายต้นฉบับบทความให้แก่บรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ประเมินและอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย เพื่อพิจารณาคุณภาพของต้นฉบับและให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงบทความ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินบทความ กรณีเกิดความขัดแย้งหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้ากองบรรณาธิการจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย

เมื่อต้นฉบับบทความได้รับการตอบรับการตีพิมพ์แล้ว บทความจะเข้าสู่กระบวนการจัดรูปแบบ (Formating) การพิสูจน์อักษรและการตรวจสอบความถูกต้อง (Proofread) และการตีพิมพ์เผยแพร่ โดยผู้เขียนจะได้รับแบบฟอร์มข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ของบทความ และบทความจะได้รับหมายเลขประจำเอกสารดิจิทัล (Digital Object Identifier; DOI) เพื่อเผยแพร่ออนไลน์ ทั้งนี้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการบรรณาธิการแสดงดังแผนผัง

หลักปฏิบัติทางจริยธรรมของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

สิ่งแวดล้อมไทย ให้ความสำคัญสูงสุดและยึดมั่นในหลักปฏิบัติทางจริยธรรมในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของผลงานวิชาการ ส่งเสริมให้ผู้เขียนยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีที่น่าเชื่อถือสำหรับการนำเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ หรือมีส่วนสำคัญในการพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของ "คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)" (https://publicationethics.org/) โดยเครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ "อักขราวิสุทธิ์" จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับบทความที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจง (หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธ) หรือปฏิเสธการรับพิจารณาบทความนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินต้นฉบับบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สิ่งแวดล้อมไทยจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review)

สำหรับกองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ ประกอบด้วย หัวหน้ากองบรรณาธิการ และบรรณาธิการ กองบรรณาธิการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมขอบเขตของงานวารสาร และมีความอิสระทางวิชาการในการดำเนินการ

กองบรรณาธิการ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและกำกับดูแลกระบวนการพิจารณาบทความให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของจริยธรรมทางวิชาการ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้

  • ความโปร่งใสและเป็นธรรม: กำกับดูแลให้กระบวนการประเมินบทความเป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากอคติ โดยการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เปี่ยมด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ
  • การพิจารณาคุณภาพบทความ: พิจารณาและตรวจสอบคุณภาพของบทความอย่างละเอียด โดยมุ่งเน้นที่ความถูกต้องและความสำคัญทางวิชาการ ความชัดเจนในการนำเสนอ และความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายและขอบเขตของวารสาร
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน: ต้องรับรองว่าตนเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใด ๆ กับผู้นิพนธ์ ผู้ประเมินบทความ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลางในการตัดสินใจ
  • การจัดการการละเมิดจริยธรรม: หากตรวจพบการคัดลอกผลงาน (plagiarism) หรือการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน (duplicate publication) ในระหว่างกระบวนการประเมินบทความ บรรณาธิการมีหน้าที่ระงับกระบวนการทันที และดำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลัก และ/หรือ ผู้ประพันธ์บรรณกิจ เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการพิจารณากระบวนการประเมินบทความต่อไป หรือปฏิเสธการตีพิมพ์ต้นฉบับบทความดังกล่าว
  • การรักษาความลับ: ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลผู้นิพนธ์และผู้ประเมินบทความอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาของกระบวนการประเมิน

สำหรับผู้นิพนธ์

ผู้นิพนธ์มีบทบาทสำคัญในการรับผิดชอบต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของผลงาน หน้าที่และแนวปฏิบัติสำหรับผู้นิพนธ์เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานทางจริยธรรม ดังนี้

  • ความสมบูรณ์และเป็นต้นฉบับ: ต้องให้การรับรองว่าผลงานที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์นั้น เป็นผลงานต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตีพิมพ์หรือเผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้นฉบับต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารใด ๆ ระหว่างการพิจารณาของสิ่งแวดล้อมไทย
  • ความถูกต้องของข้อมูล: รายงานข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย สังเคราะห์ และวิเคราะห์ อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนข้อมูล หรือให้ข้อมูลอันเป็นเท็จไม่ว่ากรณีใด ๆ
  • การตรวจสอบการคัดลอกผลงาน: ต้องดำเนินการตรวจสอบบทความของตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การอ้างอิงที่ถูกต้อง: ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของผลงานหรือแนวคิดของผู้อื่นรวมถึงของตนเอง ที่นำมาใช้ในบทความอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
  • การมีส่วนร่วมจริง: ผู้นิพนธ์ทุกคนที่มีชื่อปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการดำเนินการศึกษาวิจัยและการสร้างสรรค์บทความ ซึ่งหมายความรวมถึง การออกแบบแนวความคิดและขั้นตอนการศึกษา การค้นคว้า การวิเคราะห์ การอภิปราย การให้บทสรุป และการเขียนบทความ
  • การระบุชื่อผู้นิพนธ์: ผู้ประพันธ์บรรณกิจ (Corresponding Author) ควรตรวจสอบว่า รายชื่อผู้นิพนธ์ถูกต้อง และได้รับการยินยอมจากทุกคนก่อนส่งบทความ การเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้นิพนธ์ภายหลังการส่งต้นฉบับจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษโดยบรรณาธิการ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้นิพนธ์ทุกคน
  • การระบุแหล่งทุน: ต้องระบุแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย พร้อมทั้งแนบหลักฐานการยินยอมให้เผยแพร่ข้อมูลจากผู้สนับสนุนดังกล่าว (หากจำเป็น)
  • การรับรองจริยธรรมการวิจัย: ต้องพิจารณาและรับรองว่างานวิจัยที่ดำเนินการนั้นสอดคล้องกับหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ หรือจริยธรรมการวิจัยด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์จะต้องให้ข้อมูลและลงนามในแบบรับรองจริยธรรมที่แนบมาพร้อมกับเอกสารแสดงความจำนงในการส่งบทความ
  • การรับรองสิทธิ์: ต้องลงนามในข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์กับวารสารสิ่งแวดล้อมไทยภายหลังจากต้นฉบับได้รับการยอมรับการตีพิมพ์แล้ว
  • ความรับผิดชอบในบทความ: ผู้นิพนธ์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อข้อผิดพลาดและข้อโต้แย้งทางวิชาการตลอดจนการคัดลอกและการลอกเลียนแบบที่ปรากฎในบทความของตน

สำหรับผู้ประเมิน

ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ โดยการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพของบทความ ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อช่วยให้ผู้นิพนธ์ปรับปรุงคุณภาพของต้นฉบับ และรับประกันว่าต้นฉบับมีคุณภาพเหมาะสมต่อการตีพิมพ์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้

  • การรักษาความลับ: มีหน้าที่รักษาความลับของบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างเคร่งครัด ไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ แก่บุคคลภายนอก
  • การประเมินตามความเชี่ยวชาญและหลักวิชาการ: พิจารณาและประเมินบทความเฉพาะในสาขาที่ตนเองมีความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง การกลั่นกรองบทความต้องพิจารณาความถูกต้องของหลักการทางวิชาการของบทความเป็นสำคัญ และหลีกเลี่ยงการใช้ทัศนคติส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์สนับสนุนในการประเมินบทความ
  • การตรงต่อเวลา: ดำเนินการประเมินบทความให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด
  • การหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนและความขัดแย้งทางผลประโยชน์: ต้องตรวจสอบและแจ้งบรรณาธิการวารสารทราบทันที หากพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ หรือมีเหตุผลอื่นใดที่อาจส่งผลต่อความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการประเมิน และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  • การแจ้งการซ้ำซ้อน: หากตรวจพบบทความที่กำลังประเมินมีส่วนใดส่วนหนึ่งคล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกับผลงานที่เคยตีพิมพ์อื่นใด ต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที

บทความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ การเผยแพร่ รูปเล่ม เรขนิเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย เนื้อหาข้อความ ความคิด การสร้างสรรค์ ภาพประกอบ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ซึ่งจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาบทความ ภาพประกอบ ตลอดจนจริยธรรมในการวิจัยของตนเอง

สิ่งแวดล้อมไทย เป็นวารสารในรูปแบบ E-Journal และเปิดให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาอย่างเสรี (Open Access) สามารถอ่าน ดาวน์โหลด และเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บทความได้รับการตีพิมพ์ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License ซึ่งบทความทั้งหมดสามารถถูกเผยแพร่ คัดลอก แจกจ่ายใหม่ และ/หรือดัดแปลงเพื่อการใช้ประโยชน์ไม่เชิงพาณิชย์ได้โดยได้รับการอนุมัติที่เหมาะสมจากกองบรรณาธิการของวารสารสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ดังนั้น ผู้นิพนธ์เจ้าของบทความจะมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการวารสารสิ่งแวดล้อมไทยเท่านั้น

บทความทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในวารสารสิ่งแวดล้อมไทย ได้รับอนุญาตภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial 4.0 International License บทความที่ตีพิมพ์อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของสิ่งแวดล้อมไทย มีผลบังคับใช้เมื่อบทความได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์จะทำการโอนมอบสิทธิ์ทั้งหมดในงานให้กับสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองจากผลที่เกิดจากการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ การตีพิมพ์บางส่วนหรือทั้งหมดของบทความในที่อื่นเป็นไปได้เฉพาะหลังจากได้รับความยินยอมจากกองบรรณาธิการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น

วารสารสิ่งแวดล้อมไทยเปิดรับบทความวิชาการและบทความวิจัยตลอดทั้งทั้งปีผ่านระบบออนไลน์ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ธันวาคม)

สิ่งแวดล้อมไทยไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ ซึ่งหมายความรวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการส่งต้นฉบับ กระบวนการพิจารณาและการดำเนินการด้านบรรณาธิการ กระบวนการประเมินและตรวจสอบคุณภาพต้นฉบับบทความ กระบวนการด้านการจัดรูปแบบ การผลิต และการตีพิมพ์